แจกแพลนขับรถเที่ยว สงขลา - หาดใหญ่ - สตูล พาเที่ยวใต้ฉบับ Road Trip

Pakapron Pathomsuntronchai
05 Oct 2021 - 7 min read

“สงขลา - สตูล” สองจังหวัดชื่อดังแห่งดินแดนใต้ที่มากมายไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยว สนุกครบรส เที่ยวได้ตลอดปี โดยมีหาดใหญ่เป็นศูนย์กลางเชื่อมระหว่างสองจังหวัด หลายคนอาจจะงงว่าถ้าหากอยากไปเที่ยวที่สงขลาแล้วจะต้องไปลงเครื่องบินที่จังหวัดไหน หรือถ้าอยากไปเที่ยวหาดใหญ่จะต้องซื้อตั๋วเครื่องบินไปที่ไหน คำตอบก็คือไปลงที่หาดใหญ่ เพราะว่าที่จังหวัดสงขลาที่สนามบินแค่เพียงที่เดียวก็คือ สนามบินหาดใหญ่ อันเป็นศูนย์รวมของจุดหมายปลายทางหลายจังหวัดทางภาคใต้ที่ไม่มีสนามบินด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งในบทความนี้เราจะพานักเดินทางทุกท่าน ไปพบประสบเส้นทางเที่ยวของ สงขลา - หาดใหญ่ - สตูล ด้วยการเช่ารถขับเที่ยวแบบ Road Trip พร้อมกับมาแจกแพลนขับรถเที่ยวว่าทริปหาดใหญ่นี้จะมีที่เที่ยวที่ไหนน่าสนใจบ้าง

เริ่มต้นสำรวจ “เมืองสองทะเล” กันที่ “ย่านเมืองเก่าสงขลา” (Songkhla Old Town) ที่อาคารบ้านเรือนสไตล์ชิโนโปรตุกีส และสตรีทอาร์ทสวยๆ ให้ถ่ายรูปรัวๆ หลายมุมตามถนนสำคัญ 3 สายของย่านนี้ คือ ถนนนครนอก ถนนนครใน และถนนนางงาม ย่านวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวสงขลาที่ถนน 3 สายนี้ คงยังมีเสน่ห์เก่าๆ ให้ได้เห็น ทั้งร้านค้า โกดัง วัด สุเหร่าและท่าเรือ รวมทั้งมีอาหารท้องถิ่นให้ลิ้มลองมากมายเลยทีเดียว

แลนด์มาร์กสำคัญของย่านเมืองเก่าแห่งนี้ คือโรงสีแดงที่ชื่อ “หับโห้หิ้น” (Hub Hoe Hin) โรงสีข้าวเก่าแก่ริมทะเลสาบสงขลา ยืนเด่นเป็นสัญลักษณ์ของถนนนครนอก ปัจจุบับปรับปรุงให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีชีวิต เป็นอุทยานการเรียนรู้นครสงขลา เป็นศูนย์กลางในการจัดกิจกรรมของชุมชน นักท่องเที่ยวชมฟรีด้วยนะเออ

ไม่ไกลจากย่านเมืองเก่าสงขลา มีร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ให้ค้นหา นั่นคือ “กำแพงเมืองสงขลา” (Songkhla City Wall) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งอยู่ห่างจากน้ำราว 40 เมตร กำแพงก่อด้วยศิลาก้อนสอปูน เป็นรูปสี่เหลี่ยมล้อมรอบเมืองสงขลา มีป้อมทั้งหมด 8 ป้อม ประตูเมืองเป็นซุ้มใหญ่ 10 ประตู และมีประตูเล็กอีก 10 ประตูโดยรอบ ปัจจุบันคงเหลือแต่กำแพงด้านถนนจะนะ ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ และที่ถนนนครในเท่านั้น

ตรงข้ามกำแพงเมืองสงขลาเป็นที่ตั้ง “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสงขลา” (Songkhla National Museum) โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีนผสมยุโรป อายุกว่า 100 ปี สร้างเป็นตึกก่ออิฐถือปูน 2 ชัั้น หันหน้าสู่ทะเลสาบสงขลา เป็นเรือนหมู่ 4 หลัง เชื่อมติดกันด้วยระเบียงทางเดิน ภายในจัดแสดงศิลปวัตถุ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงสมัยศรีวิชัย ที่นี่ยังจัดแสดงศิลปโบราณวัตถุที่เกี่ยวกับตระกูล ณ สงขลา ซึ่งเป็นตระกูลเจ้าเมืองสงขลาในอดีตด้วย

ที่ถนนไทรบุรีในตัวเมืองสงขลา มีวัดใหญ่และสำคัญที่สุดในจังหวัดสงขลา คือ “วัดมัชฌิมาวาส” (Matchimawat Temple) หรือ “วัดกลาง” เป็นวัดหลวงอายุกว่า 400 ปี ภายในวัดมีพระอุโบสถที่สร้างสมัยรัชกาลที่ 1 มีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เช่น ภาพท่าเรือสงขลาที่หัวเขาแดง และยังมี “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติภัทรศีลสังวร” จัดแสดงโบราณวัตถุที่เก็บรวบรวมจากสงขลา สทิงพระและระโนด ให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์อีกด้วย

จากตัวเมืองมุ่งหน้าสู่หาดสมิหลา (Samila Beach) แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองสงขลา ว่ากันว่าถ้าไม่ได้จับนม “นางเงือก” ที่นั่งหวีผมอยู่ที่ปลายแหลมสมิหลา ถือว่ามาไม่ถึงสงขลา หาดทรายขาวทอดยาวกว่า 3 กิโลเมตร ร่มรื่นด้วยเงาสน โดดเด่นด้วรูปปั้น “หนู - แมว” อันเป็นสัญลักษณ์ของ 2 เกาะ ที่เห็นอยู่เบื้องหน้า จากชายหาดยังสามารถชมทิวทัศน์ของแหลมสนอ่อน และหาดชลาทัศน์ได้ ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง เห็นไกลไปถึงเขาเก้าเส้งเลยทีเดียว

อีกหนึ่งหาดน่าเที่ยวคือ “หาดชลาทัศน์” เป็นชายหาดยาวต่อเนื่องมาจากหาดสมิหลา ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบสงบ และมีหาดทรายขาวสะอาด เล่นน้ำได้ตลอดแนว ร่มรื่นด้วยทิวสน เป็นจุดพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามจับใจ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ “หางพญานาค” ที่สร้างส่วนเศียรไว้ที่สวนสองทะเล ส่วนกลางลำตัวหรือสะดือพญานาคอยู่บริเวณสี่แยกสระบัว ระยะจากเศียรถึงส่วนหางประมาณ 4 กิโลเมตร

จากตัวเมืองสงชลาขับรถมุ่งหน้าสู่ตำบลคลองแห เพื่อชมมัสยิดที่ยิ่งใหญ่อลังการที่ชาวสงขลาเรียกว่า “มัสยิดกลางดิย์นุลอิสลาม” (Central Mosque of Songkhla) หรือเรียกสั้นๆ ว่า “มัสยิดกลางสงขลา” ที่ถนนลพบุรีราเมศวร์ เป็นมัสยิดที่สวยงามสมดังฉายา “ทัชมาฮาลเมืองไทย” ด้วยสถาปัตยกรรมที่สวยสง่าด้วยโดมทอง

ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด เหมาะแก่การเก็บภาพประทับใจ คือในช่วงที่ดวงอาทิตย์กำลังลาลับขอบฟ้า และในเวลาค่ำคืนที่มีการประดับไฟสวยงาม

ก่อนอำลาสงขลา อย่าลืมไปเยือน “เกาะยอ” (Yor Island) เกาะเล็กๆ กลางทะเลสาบสงขลา ที่มี “สะพานติณสูลานนท์” เชื่อมต่อระหว่างฝั่งสงขลาไปยังบ้านน้ำกระจายของเกาะยอ ขณะขับรถผ่านสามารถชมความงามทั้งฝั่งทะเลสาบสงขลา และฝั่งทะเลน้อยได้วิวสวยงามที่แปลกตา ในยามเย็นสะพานแห่งนี้ ยังเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามแห่งหนึ่งของเมืองสงขลา

จากตัวเมืองสงขลามุ่งหน้าสู่ใจกลางเมืองหาดใหญ่ ใช้เวลาแค่อึดใจใหญ่ๆ ด้วยระยะทางที่ห่างกันแค่ 30 กิโลเมตร เท่านั้น ปัดหมุดจุดแรกที่แลนด์มาร์กสำคัญของเมืองหาดใหญ่ที่ “วัดฉื่อฉาง” (Chue Chang Temple) ตั้งอยู่ในย่านฉื่อฉาง ถนนศุภสารรังสรรค์ ไม่ไกลจากตลาดกิมหยง วัดจีนแห่งแรกของหาดใหญ่แห่งนี้มี “องค์เทพหลื่อโจ้ว” ซึ่งเป็น 1 ใน 8 เซียน เป็นเทพประธาน จุดเด่นของวัดคือสถาปัตยกรรมอันงดงามด้วยศิลปะ ไทย จีน และธิเบต กระเบื้องแต่ละแผ่นผ่านกรรมวิธีการเขียนด้วยมือ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปปางห้ามญาติ และเทพเจ้าหลายองค์ให้ได้สักการะขอพร เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

ณ ถนนโชคสมาน 1 ในตัวเมืองหาดใหญ่ เป็นที่ตั้งของ “วัดโคกสมานคุณ” ตั้งอยู่ในรั้วเดียวกับโรงเรียนโชคสมานคุณวิทยาทาน เดิมมีชื่อเรียกว่า “วัดโคกเสม็ดชุน” ภายในวัดมีรูปหล่อเหมือน “หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด” ขนาดกว้าง 7.9 เมตร สูง 9 เมตร โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2549 เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจากความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และอุทกภัย นอกจากนี้ยังมีพระปรางค์สามยอด อันสวยงามวิจิตรตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ภายในวัดอีกด้วย

บนถนนเพชรเกษม บริเวณด้านหลังตลาดหาดใหญ่ใน มีอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของหาดใหญ่ “วัดมหัตตมังคลาราม” หรือ “วัดหาดใหญ่ใน” สถานที่ประดิษฐาน “พระพุทธหัตถมงคล” พระพุทธไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหูที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก บริเวณด้านหน้าฝั่งพระบาทของพระพุทธมหัตตมงคล ประดิษฐานท้าวมหาพรหมให้นักท่องเที่ยวได้สักการะบูชา

เช่นเดียวกับที่ “เขาคอหงส์” (Khohong Hill) สวนสาธารณะพื้นที่กว่า 914 ไร่ ริมถนนกาญจนวนิช ไปตามเส้นทางหาดใหญ่-สงขลา ห่างจากตัวเมืองหาดใหญ่ 6 กิโลเมตร ก็มีพระพุทธรูปปางประทานพรองค์ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ให้สักการะบูชา มีนามว่า “พระพุทธมงคลมหาราช” ด้านหน้าองค์พระเป็นลานชมวิวเมืองหาดใหญ่ และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในหาดใหญ่ และยังมีองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม และพระสังกัจจายน์ให้กราบไหว้ขอพร ที่นี่ยังมีกระเช้าลอยฟ้าแห่งแรกของไทย ให้นั่งชมทัศนียภาพของเมืองหาดใหญ่ในมุมสูงอีกด้วย

บริเวณทางขึ้นไปยังศาลท้าวมหาพรหมบนยอดเขาคอหงส์ มีรูปปั้นของ “ช้างเอราวัณ” หนึ่งในสัตว์ที่ปรากฏอยู่ในเรื่องรามายณะ เป็นช้างสามเศียร ผิวกายสีเผือกอมชมพู ความสูงราวๆ 5 - 7 เมตร เชื่อกันว่าช้างเอราวัณเป็นเทพบุตรองค์หนึ่ง เมื่อพระอินทร์ต้องการเสด็จไปไหน เอราวัณเทพบุตรจะแปลงกายเป็นช้างเผือกรูปงามมี 33 เศียร แต่ละเศียรมีงาถึง 7 งา และมีความยาวถึง 4 ล้านวาเลยทีเดียว

อีกหนึ่งสถานที่น่าสนใจในสวนสาธารณะหาดใหญ่ เขาคอหงส์ คือ “ศูนย์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์” หรือที่ชาวหาดใหญ่เรียก “หอดูดาว” เป็นโดมทรงกลมนี้มีหลังคาเปิดปิดได้ ด้านหลังมีห้องเล็กๆ สร้างทางเดินเชื่อมถึงกัน รูปร่างคล้ายยานอวกาศ ภายในประกอบด้วย ห้องนิทรรศการ โรงฉายภาพยนตร์ และโดมดูดาว ผู้ที่สนใจด้านดาราศาสตร์ห้ามพลาด

จากสวนสาธารณะเขาคอหงส์ไปยังถนนปุณณกัณฑ์ หลังมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มองเห็นเจดีย์สแตนเลสขนาดใหญ่โดดเด่นมาแต่ไกล องค์พระเจดีย์มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “พระมหาธาตุเจดีย์ไตรภพไตรมงคล” ชาวหาดใหญ่นิยมเรียกว่า “เจดีย์สเตนเลส” มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 22 เมตร ความสูง 32 เมตร สร้างด้วยสแตนเลสส้นกลมหลายขนาด มาเรียงเชื่อมกันเป็นรูปของเจดีย์ ภายในฐานเจดีย์มีบันไดเวียนสเตนเลสนำสู่ชั้น 2 นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูป รอยพระพุทธบาท เจ้าแม่กวนอิม และสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ให้สักการะบูชา

มาถึงหาดใหญ่ ถ้าไม่แวะช้อปของฝากที่ “ตลาดกิมหยง” ถือว่ายังมาไม่ถึงหาดใหญ่ ตลาดเก่าแก่คู่เมืองหาดใหญ่ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกใจกลางเมือง เป็นตลาด 2 ชั้นในร่มที่ใหญ่ที่สุดในหาดใหญ่ ชั้นล่างจำหน่ายของฝากราคาถูก ทั้งเสื้อผ้า และขนมขบเคี้ยวนานาชนิด ผลไม้อบแห้ง และผลไม้สด ส่วนชั้น 2 มีสินค้าจำพวกเครื่องไฟฟ้าและอื่นๆ อีกมากมาย

อีกหนึ่งตลาดที่นักชิมน่าจะถูกใจ “ตลาดน้ำคลองแห” ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองคลองแหของหาดใหญ่ อยู่ริมฝั่งคลองตรงข้ามกับวัดคลองแห เป็นตลาดน้ำเชิงวัฒนธรรมแห่งแรกและแห่งเดียวของภาคใต้ ที่ผสมผสานระหว่างตลาดบกและตลาดน้ำ มีอาหารพื้นบ้านของภาคใต้ให้เลือกชิมมากมาย นอกจากนี้ยังมีเรือบริการนำเที่ยวชมทิวทัศน์ของสองฝั่งคลองอีกด้วย

“น้ำตกโตนงาช้าง” อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าโตนงาช้าง เป็นน้ำตกที่สวยแห่งหนึ่งของภาคใต้ ถือเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญหลายสายที่ใหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา มีด้วยกันทั้งหมด 7 ชั้น ชั้นที่สวยงามและมีชื่อคือ ชั้นที่ 3 ซึ่งมีสายน้ำตกแยกออกมา ลักษณะคล้ายงาช้าง อันเป็นที่มาของชื่อน้ำตก เหมาะสำหรับพักผ่อน เล่นน้ำตก และยังมีเส้นทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมศึกษาระบบนิเวศอีกด้วย

จากหาดใหญ่ขับรถเพลินๆ ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ก็ถึงสตูล จังหวัดที่มีเกาะชื่อดังอย่างเกาะหลีเป๊ะ เกาะหินงาม และเกาะตะรุเตา เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ไปเยือนเป็นจำนวนมากในแต่ละปี

ก่อนออกนอกเมืองไปสัมผัสธรรมชาติที่สวยงาม แวะเยี่ยมชม “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสตูล” หรือ “คฤหาสน์กูเด็น” ที่ถนนสตูลธานี ใจกลางเมืองสตูลเป็นอันดับแรก เป็นอาคารเก่าแก่สร้างขึ้นสมัย “พระยาภูมินารถภักดี” เป็นผู้ว่าราชการเมือง ตัวอาคารก่ออิฐถือปูน 2 ชั้น ประตูหน้าต่างรูปโค้งตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป หลังคาทรงปั้นหยาแบบไทย ตรงช่องลมหน้าบันไดตกแต่งรูปดาว ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบมุสลิม ภายในจัดแสดงโบราณวัตถุ และนิทรรศการประวัติศาสตร์เมืองสตูลให้นักท่องเที่ยวได้ชมกัน

ขับรถจากตัวเมืองสตูลออกไปประมาณ 20 กิโลเมตร ใช้เส้นทางเมืองสตูล – ตันหยงโป จุดหมายปลายทางที่ท่าเรือบ้านบากันเคย เพื่อนั่งเรือหางยาวไปดู “สันหลังมังกร” หรือ “ทะเลแหวกสันหลังมังกร” (San Lang Mangkorn Tan Yong Po) เป็นหาดสันทรายกลางทะเลที่เกิดจากการทับทมของซากเปลือกหอยนับหลายล้านตัว

จนกลายเป็นเส้นทางคดเคีี้ยวยาวกว่า 4 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างเกาะหัวมันกับเกาะสามอยู่กลางน่านน้ำทะเลอันดามัน แล้วอย่าลืมแวะสัมผัสวิถีชีวิตชาวเลที่ “ปุเลาอูบี” ด้วยนะ

จากนั้นไปต่อกันที่ “อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา” หมู่เกาะน้อยใหญ่กลางทะเลอันดามัน มีเกาะใหญ่ 2 เกาะเป็นหัวใจหลักของการท่องเที่ยว คือ เกาะเภตรา และเกาะเขาใหญ่ และมีเกาะบริวารอีก 22 เกาะ มีกิจกรรมมากมายให้สนุกสนานเพลิดเพลิน ทั้งล่องเรือชมวิวสวยๆ ของหาดทรายขาว น้ำทะเลใส เที่ยวถ้ำ ชมเต่าทะเลวางไข่ ดำน้ำชมความงามใต้ท้องทะเล เดินป่าศึกษาธรรมชาติ และยังข้ามไปชมความงามของ “เขาโตีะหงาย” (Kao Tho Hngay) ได้อีกด้วย

“เขาโต๊ะหงาย” เป็นภูเขาลูกโดดๆ มีหน้าผาริมทะเลที่สูงชัน ไฮไลท์สำคัญอยู่ที่ “สะพานข้ามกาลเวลา” เป็นสะพานเดินเท้าจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา เลียบไปตามชายฝั่งผาชันด้านตะวันออก แล้วโค้งไปทางตะวันตก ผ่านรอยเลื่อนของหินสองยุคที่มีอายุแตกต่างกันมาบรรจบกัน คือชั้นหินสีแดงยุคแคมเบรียน (กลุ่มหินตะรุเตา) และหินปูนสีเทายุคออร์โอวิเชียน (กลุ่มหินทุ่งสง) อีกทั้งยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่อย่างสวยงามอีกด้วย

อีกหนึ่งจุดห้ามพลาดของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา คือ “ถ้ำเจ็ดคต” มีลักษณะเป็นถ้ำลอดหินปูนยุคออร์โดวิเชียนอายุ 444 ล้านปี มีปากถ้ำสองด้านทะลุเข้าหากันลักษณะคล้ายอุโมงค์คดเคี้ยวไปมา ภายในถ้ำแบ่งเป็น 7 ช่วง อันเป็นที่มาของชื่อ “ถ้ำเจ็ดคต” ได้แก่ คตบัวคว่ำ คตหัวสิงโต คตม่านเพชร คตลานกุหลาบหิน คตส่องนภา คตประติมากรรมพระพุทธรูป และคตแผนที่ประเทศไทย วิธีเดียวที่จะเข้าไปชมถ้ำคือพายเรือยางหรือเรือคายักเข้าไป

กิจกรรมสำคัญของอุทยานฯ แห่งนี้คือ การสำรวจถ้ำยุคดึกดำบรรพ์ที่ชื่อว่า “ถ้ำเลสเตโกดอน” เป็นถ้ำเลที่ยาวสุดในประเทศไทย มียาวกว่า 4 กิโลเมตร ความสำคัญของถ้ำแห่งนี้คือ มีการพบซากดึกดำบรรพ์ของช้างสกุล “สเตโกดอน” อันเป็นที่มาของชื่อถ้ำ และถือเป็นจุดกำเนิดการจัดตั้งอุทยานธรณีสตูลขึ้น ไฮไลท์สำคัญภายในถ้ำ ประกอบด้วย นางฟ้าผมทอง แมงกะพรุนยักษ์ หินเต่าล้านปี กลุ่มหินย้อยหลอดกาแฟ ห้องโถงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และพลาดไม่ได้กับการตามหา “หัวใจที่ปลายอุโมงค์”

สิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างยังไม่หมดแค่นี้ ที่เกาะเขาใหญ่มีชายหาดและน้ำทะเลสีเขียวมรกต ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหินปูนปลายยอดแหลม มองดูคล้ายยอดปราสาทนับพันยอด อันเป็นที่มาของชื่อ “ปราสาทหินพันยอด” โดยเกิดจากการยกตัวของเปลือกโลกมากว่าหลายร้อยล้านปี ทำให้หินมีรูปร่างแปลกตา โดยต้องพายเรือคายักลอดผ่านช่องแคบเข้าไป เพื่อชมความอลังการของหินทรงปราสาทแห่งนี้

จดลิสต์จุดปักหมุดที่ถูกใจไว้ให้พร้อม วางแผนการเดินทางให้รอบคอบ เสื้อผ้า หน้าผม ร่ม แว่นกันแดด หมวกสวยๆ จัดเต็มเข้าไว้ แล้วจองตั๋วเครื่องบิน เช่ารถไว้รอท่า เพื่อไปสำรวจว่า ทั้งสงขลา หาดใหญ่ และสตูล มีที่เที่ยวเด็ดๆ ที่ไหนบ้าง

Hotels
Flights
Things to Do
Always Know the Latest Info
Subscribe to our newsletter for more travel & lifestyle recommendations and exciting promos.
Subscribe