สวัสดีเพื่อน ๆ ทุกคน วันนี้ก็ได้ฤกษ์มารีวิวทริปเที่ยวภูเก็ต-กระบี่ แบบ Road Trip ขับรถเที่ยวตระเวนเองฉบับไปไหนไปกัน เน้นไม่แพงแต่ก็สนุกได้อย่างเต็มที่ ซึ่งในรีวิวนี้เราก็ได้รวบรวมภาพบรรยากาศและรายละเอียดของสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ มาให้เพื่อนน ๆ ได้ชื่นชมกันอย่างถ้วนหน้า บอกก่อนเลยว่าแต่ละที่ที่เราไปนั้นสวยงาม และรู้สึกฟินมาก ๆ ว่าแล้วก็ตามไปดูกันเลยดีกว่าว่าทริปนี้ของเราจะสนุกสุดเหวี่ยงขนาดไหน ซึ่งหากใครดูแล้วอินแบบเราก็สามารถลอกแพลนและตามไปเช็กอินกันได้เลย เพราะทริปนี้เราเน้นเที่ยวแบบ Low budget แต่เก็บครบทุกแลนด์มาร์กสำคัญและคุ้มค่าอย่างแน่นอน ว่าแล้วไม่รอช้า ตามไปดูกันเลยดีกว่า
การเดินทางจากกรุงเทพภูเก็ต - กระบี่
การเดินทางในครั้งนี้เราได้จองตั๋วเครื่องบินกับ Traveloka เพราะเราเห็นว่าเขามีฟีเจอร์ Price Alerts สุดพิเศษที่คอยแจ้งเตือนราคาและเปรียบเทียบราคาตั๋วเครื่องบินจากสายการบินต่าง ๆ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาในการเปรียบเทียบเองให้เหนื่อยอีกต่อไป แถมยังได้ตั๋วในราคาถูกที่สุด เรียกได้ว่าเป็นตัวช่วยที่ทำให้การเดินทางของเราคุ้มค่าและสะดวกมากเลยทีเดียว
การเดินทางท่องเที่ยวในครั้งนี้เราได้เช่ารถยนต์ขับเอง เพราะภูเก็ตเป็นเกาะที่ค่อนข้างใหญ่ การเดินทางจากอำเภอหนึ่งไปยังอีกอำเภอหนึ่งก็หลายกิโลเหมือนกัน เลยคิดว่าการเช่ารถขับเองน่าจะเป็นวิธีที่สะดวกสบายและคุ้มค่าราคามากที่สุด ซึ่งเราก็ได้เช่ารถขับกับ Traveloka อีกเช่นกัน เพราะเห็นว่าเราสามารถเลือกรุ่นรถยนต์ที่ต้องการได้ และเมื่อหารราคาต่อหัวก็ยิ่งถูกลงไปอีก ที่สำคัญขั้นตอนในการจองก็ยังง่ายมาก ๆ โดยรวมแล้วรถใหม่อยู่ในสภาพดี พนักงานบริการดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าเป็นบริการที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
หลังจากได้แลนด์ดิ้งลงสู่สนามบินภูเก็ตและรับกระเป๋าสัมภาระต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย เราก็เดินมาตรงโซนรถเช่า เพื่อรอรับรถและรับกุญแจ พอได้รถแล้วก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายแรกกันเลย ซึ่งเราตั้งใจว่าจะเข้าไปหาอะไรอร่อย ๆ ทานกันในเมืองภูเก็ตก่อน โดยเราก็ได้ตัดสินใจไปฝากท้องมื้อแรกกันที่ ร้านบุญรัตน์ติ่มซำ ร้านดังเมืองภูเก็ตที่ใครมาก็ต้องพลาดไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีหลายเมนูให้เลือกทานอย่างมากมายแล้ว รสชาติติ่มซำของที่นี่ก็ยังดีมาก ๆ แถมร้านยังดูสะอาดตา และราคาไม่แพงมากอีกด้วย
ขอบคุณภาพจาก facebook.com/boonratpkt
หลังจากทานกันจนอิ่มท้อง เราก็ไปเดินเล่นแถวเมืองเก่าภูเก็ต หรือที่ใครหลายคนคุ้นหูกันในชื่อของ Old Town Phuket เมืองสุดคลาสสิคที่โอบล้อมไปด้วยอาคารเก่าแก่ที่ถูกออกแบบมาในสไตล์ชิโนโปรตุกีสตลอดสองฝั่งถนน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นน่าสะดุดตา และถนนสตรีทอาร์ตที่แอบแฝงซ่อนตัวอยู่ตามซอกซอยต่าง ๆ โดยเราก็ได้เดินเล่นถ่ายรูปกันอย่างเพลิดเพลิน
เดินลัดเลาะไปเรื่อย ๆ ก็เดินไปถึงซอยรมณีย์ ซึ่งซอยนี้นับเป็นศูนย์กลางของการท่องเที่ยวย่านเก่าภูเก็ตที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และร้านขายของที่ระลึกมากมาย โดยตึกย่านนี้มีเอกลักษณ์เด่นอยู่ที่ประตูด้านหน้าและหน้าต่างที่ออกแบบลวดลายด้วยปูนปั้นแบบอาร์ตเดโคม่าได้อย่างสวยงาม
พอเดินไปเรื่อย ๆ ก็เลยแวะเข้าไปที่ Cafe'in - Thaihua Museum คาเฟ่เล็ก ๆ สไตล์จีนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย โดยทางร้านมีทั้งเมนูคาว-หวาน และเครื่องดื่มร้อนเย็นให้เลือกทานอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โอเอ๋วฮันนี่เลม่อน โอเอ๋วแตงโม กี๊จ่างลำใย ตลอดไปจนถึงข้าวหมูทอดน้ำปลา ขนมจีนแกงปู และข้าวหมูฮ้อง
ขอบคุณภาพจาก facebook.com/CafeinThaihuaMuseum
เมื่อทานกันอย่างชื่นใจ เราก็เดินกลับไปขึ้นรถเพื่อมุ่งหน้าไปเช็กอินเข้าที่พัก ซึ่งทริปนี้เราได้เลือกพักกันที่ อันดามันตรา รีสอร์ท แอนด์ วิลลา ภูเก็ต รีสอร์ทที่เทียบเท่าระดับ 5 ดาว แต่ราคาเพียงหลักร้อยเท่านั้น เพราะช่วงที่เราจองราคาลดกระหน่ำเลย เนื่องจากช่วงโควิดที่หลายคนคงรู้กันเป็นอย่างดี ทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไปได้เยอะเลยทีเดียว
ซึ่งเราได้เลือกพักห้อง Premium Deluxe Ocean ที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ อย่างครบครัน บอกได้เลยว่าราคาที่จ่ายไปกับสิ่งที่ได้มานั้นคุ้มค่ามากจริง ๆ
พอเราได้เก็บสัมภาระต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย เราก็ขอตัวไปเดินเล่นรอบที่พัก และกลับมางีบพักขาก่อนที่จะออกไปตะลุยกันต่อ โดยในเย็นวันนี้เราแพลนว่าจะออกไปชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่ แหลมพรหมเทพ หนึ่งในแลนด์มาร์คสุดฮิตที่ใครมาถึงก็ต้องพลาดไม่ได้ เพราะที่นี่เปรียบเสมือนจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดในเมืองไทย
บอกเลยว่าบรรยากาศของที่นี่สวยงามมาก ๆ ทั้งแสงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้ากระทบลงกับน้ำทะเล ทุ่งหญ้าสีเหลืองทองอร่าม และต้นตาลที่ขึ้นบริเวณโดยรอบเด่นอย่างงดงาม ทำให้ภาพบรรยากาศดูอบอุ่น และโรแมนติกเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
หลังจากที่เราได้นั่งชื่นชมกับความสวยงามอยู่สักพัก เราก็ได้เดินกลับขึ้นรถเพื่อแวะหาร้านอาหารกินกันเป็นมื้อเย็น สำหรับวันนี้เราก็ขอตัวไปพักก่อน มาดูกันว่าเช้าวันที่สองของเราจะไปตะลุยกันที่ไหนต่อ
ในเช้าวันที่สองเราตื่นกันตั้งแต่ 6 โมง เพราะวันนี้โปรแกรมเราแน่นมาก ๆ เนื่องจากเราได้ซื้อทริปไปดำน้ำตามหมู่เกาะต่าง ๆ กับทางทัวร์ไว้ ซึ่งรถตู้จะมารับเราที่หน้ารีสอร์ทไม่เกิน 8 โมง หลังจากตื่นนอนเราก็รีบไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของที่พัก และกลับมาเปลี่ยนชุดเก็บสัมภาระต่าง ๆ เข้ากระเป๋า
ไม่นานรถตู้ก็มารับเราที่หน้าล็อบบี้ของรีสอร์ท ซึ่งจากที่พักไปยังท่าเรือใช้เวลาประมาณ 30 - 40 นาทีเท่านั้น ซึ่งหากใครที่ตื่นไม่ทันทาอาหารเช้าของที่พัก ก็สามารถมาทานที่ท่าเรือได้ เพราะทางทัวร์ได้จัดเตรียมชา กาแฟ และของว่างไว้ให้
หลังจากที่ได้มาถึงและได้ทำการเช็กชื่อลงทะเบียนเรียบร้อย ก็ถึงเวลาลงเรือแล้ว ซึ่งไกด์ก็จะมาแนะนำตัวและคอยดูแลความปลอดภัยต่าง ๆ ของเราตลอดทริป โดยจุดแรกที่เราจะไปแวะกันก่อนเลยก็คือ เกาะพีพี ซึ่งเกาะพีพี จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ก็คือ พีพีดอน และพีพีเล โดยเราจะไปที่พีพีดอนกันก่อน เนื่องจากหาดลิงที่เรากำลังจะไปนั้นอยู่ในฝั่งของพีพีดอน
หลังจากที่นั่งเรือจากท่ามาประมาณ 45 นาที เราก็เดินทางมาถึงหาดลิง ซึ่งไกด์ให้เวลาเราเดินเล่นถ่ายรูป และเล่นน้ำกันที่นี่ประมาณ 40 นาที บอกเลยว่าน้ำที่นี่ใสเขียวเป็นมรกตมาก ๆ แถมเจ้าลิงก็นั่งเรียงรายรอคอยนักท่องเที่ยวเยอะมาก ๆ อีกด้วย ใครที่เข้าไปถ่ายรูปและให้อาหารกับเจ้าลิงก็ระวังกันด้วยล่ะ เพราะลิงที่นี่ค่อนข้างจะซุกซนกันมากเลยทีเดียว
หลังจากสนุกสนานกันสักพัก ทางไกด์ก็เรียกขึ้นเรือเพื่อไปทานอาหารเที่ยงเติมพลังกันก่อนจะไปจุดถัดไป ซึ่งสถานที่เช็กอินที่เราจะไปเยือนกันต่อก็คือ ถ้ำไวกิ้ง
ซึ่งเขาว่ากันว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีภาพเขียนสีโบราณที่มีลักษณะคล้ายกับเรือไวกิ้งอยู่บนผนัง โดยมีความเชื่อว่าเป็นผลงานของชาวประมงที่เคยเข้ามาหลบคลื่นพายุ จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่าถ้ำไวกิ้งนั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของนกนางแอ่น ทำให้นักท่องเที่ยวสามารถดูได้บริเวณรอบนอกเท่านั้น
สถานที่ที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำไวกิ้งมากนักก็คือ ปิเละ ลากูน อ่าวที่เราสามารถกระโดดลงเล่นน้ำกันได้อย่างสนุกสนาน โดยที่นี่น้ำไม่ลึกมากและเคยเป็นบริเวณที่มีปะการังสวยที่สุดจุดหนึ่งเลย แต่หลังจากที่คลื่นสึนามิพัดมาในปี 47 ทำให้ทุกอย่างลอยหายไปหมด แต่เราก็ชอบที่นี่มาก ๆ เลยนะ เพราะว่าน้ำใสมาก ๆ เหมือนเราได้มาซึมซับกับธรรมชาติที่ยังหลงเหลือความอุดมสมบูรณ์ให้ได้สัมผัสอยู่
มาต่อกันที่ อ่าวมาหยา หนึ่งในไฮไลท์เด็ดของทริปนี้ที่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์แห่งอันดามันของจังหวัดกระบี่ ที่นักท่องเที่ยวต่างให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะที่นี่มีหาดทรายที่ขาวละเอียด น้ำใสเขียวเป็นมรกต และแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์และงดงามมาก ๆ
เราก็ได้แช่น้ำเดินเล่นถ่ายรูปอยู่สักพัก ไกด์ก็เรียกขึ้นเรือเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่สุดท้ายของทริปนี้ นั่นก็คือ เกาะไข่ ซึ่งจากอ่าวมาหยาไปเกาะไข่จะใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า พอมาถึงเกาะไข่ไกด์ก็ให้เวลาเราอยู่ที่นี่ 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะนั่งเรือกลับไปที่ท่าเรือ
โดยเกาะไข่นั้นเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่เราสามารถดำน้ำตื้นได้ เหมาะสำหรับคนดำน้ำมือใหม่ที่ยังมีความกลัวอยู่ อีกทั้งที่นี่น้ำยังใสมาก ๆ และสวยไม่แพ้เกาะอื่น ๆ เราสามารถมองเห็นฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมารอคอยอาหารจากเราได้อย่างชัดเจนกันเลยทีเดียว
เล่นน้ำไปแป๊ปเดียวก็ผ่านไปแล้ว 1 ชั่วโมง ไกด์ก็เรียกเราขึ้นเรือเพื่อกลับเข้าฝั่ง และรอรถมารับกลับที่พัก วันนี้ใช้พลังไปเยอะมาก ๆ แต่ก็สนุกมากไม่แพ้กัน การที่ได้ออกไปสัมผัสธรรมชาติแบบนี้เหมือนได้ออกไปชาร์จพลังให้กับร่างกายอย่างบอกไม่ถูก
และเช้าวันสุดท้ายก็มาถึง ในวันนี้เราไม่มีแพลนอะไรมากมาย กะว่าจะแค่แวะไปไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันที่ วัดฉลอง วัดคู่บ้านคู่เมืองของภูเก็ตที่ชาวบ้านต่างให้ความเลื่อมใสและศรัทธากันเป็นอย่างมาก
ซึ่งภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อแช่ม หรือ พระครูวิสุทธิวงศาจารย์ญาณมุณี พระเกจิชื่อดังที่ชาวบ้านต่างให้ความนับถือ เนื่องจากท่านมีกิตติศัพท์ในการรักษาโรคด้านการปรุงยาสมุนไพร และมีเมตตาธรรม ทำให้ถึงแม้ท่านจะมรณภาพไปแล้วก็ตาม แต่ผู้คนก็ยังคงพากันเดินทางมากราบไหว้อย่างไม่ขาดสายตลอดทั้งปี
หลังจากที่กราบไหว้เป็นที่เรียบร้อยเราก็ได้มุ่งหน้าไปที่ Ma Doo Bua Cafe คาเฟ่สุดฮอตที่ใครหลายคนพูดถึงในเวลานี้ เพราะคุณจะได้สัมผัสไปกับบรรยากาศสุดชิลของสระบัวที่สร้างความรื่นรมย์ พร้อมทั้งลิ้มรสชาติของอาหารเมืองภูเก็ตสไตล์พื้นเมืองฟิวชั่วกันได้อย่างจุใจ
ซึ่งเราก็ไม่ได้สั่งอะไรมาทานมากมาย เพียงสั่งน้ำมาทานแก้วนึงและก็ถ่ายรูปเล่นบริเวณริมสระเท่านั้น เพราะถ้าใครอยากได้รูปบนใบบัวกลางสระน้ำ หรือนอนบนเรือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบินโดนเพิ่มเติมนั่นเอง
ขอบคุณภาพ facebook.com/Maadoobua.Phuket
เมื่อถ่ายรูปกันอย่างพอใจแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปจุดเช็กอินสุดท้ายกันต่อที่ หาดไม้ขาว หนึ่งในสถานที่เที่ยวถ่ายรูปยอดนิยมที่ผู้คนต่างให้ความสนใจเดินทางกันมาโพสท่าสวย ๆ กันอย่างไม่ขาดสาย เพราะที่นี่ถือเป็นแลนด์มาร์คสุดอันซีนที่คุณจะได้รูปคู่เครื่องบินแบบระยะใกล้ที่ไม่เหมือนที่ไหนมาก่อนอย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปนั่งชมเครื่องบิน พร้อมทั้งนั่งชิลริมทะเลฟังเสียงคลื่นที่พัดเข้าฝั่งกันได้อย่างสบายอารมณ์
พอถ่ายรูปได้อยู่สักพัก ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องมุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อรอขึ้นเครื่องกันแล้ว การมาเที่ยวสามวันนั้นผ่านไปเร็วมาก ๆ ยังไม่ทันไรก็ต้องโบกมืออำลาภูเก็ตกันไปซะแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นการมาเที่ยวที่คุ้มค่าในงบสบายกระเป๋ามาก ๆ หากใครยังไม่รู้จะไปเที่ยวไหนดีในช่วงวันหยุดยาวที่กำลังมาถึง ภูเก็ตก็ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว