15 ที่เที่ยวเยอรมนีสวยเหมือนอยู่ในเทพนิยาย

Traveloka TH
13 Aug 2021 - 6 min read

แม้ว่าช่วงนี้จะยังคงเป็นช่วงที่โรคโควิด-19 (Covid-19) ระบาดจึงทำให้ยังไม่สามารถจองตั๋วเครื่องบินเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศกันได้ แต่สำหรับใครที่อยากเที่ยวแล้ว เวลาเหลือพร้อม งบประมาณพร้อม แนะนำให้ลองเข้าไปเลือกจองตั๋วเครื่องบินไปเยอรมณีกันได้ เพราะตอนนี้ได้เปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้าประเทศได้แล้ว ณ ตอนนี้ ซึ่งมีเงื่อนไขที่ว่าหากเดินทางมาจากประเทศเสี่ยง จะต้องทำการกักตัวทั้งสิ้น 10 วัน แต่หลังจากวันที่ 5 ของการกักตัว หากตรวจโควิดแล้วผลตรวจเป็นลบ ก็สามารถสิ้นสุดการกักตัวได้เลย ข้อมูลแน่นขนาดนี้แล้ว หากใครที่มีวีซ่าที่ยังเหลืออยู่พร้อมเดินทาง แล้วอยากจะเดินทางไปยังเยอรมณี เราก็ได้นำเอาลิสต์ 15 ที่เที่ยวเยอรมณีที่ไม่ใช่แค่ถ่ายรูปสวยเท่านั้น แต่ยังได้ฟีลเหมือนต้องมนต์อยู่ในเทพนิยายมาฝากกันด้วย พร้อมแล้วก็พุ่งไปจองตั๋วกับ Traveloka พร้อมใช้ฟีเจอร์ใหม่ Promo Filter ช่วยหาตั๋วราคาโดนใจได้เลย แต่ก่อนจะเดินทางก็อย่าลืมเช็คมาตรการสนามบินปลายทางที่นี่ก่อนนะ

1. ปราสาทน็อยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle)

แลนด์มาร์คเยอรมนีที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกนั้น เชื่อว่านักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต้องรู้จักกันเป็นอย่างดี สำหรับ “ปราสาทน็อยชวานชไตน์ (Neuschwanstein Castle)” ปราสาทที่งดงามราวกับได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในหนังสือนิทาน ถึงขนาดที่ดิสนีย์ได้นำปราสาทนี้มาเป็นแรงบันดาลใจ ในการสร้างปราสาทเจ้าหญิงในการ์ตูนเจ้าหญิงนิทราขึ้นมา ความคลาสสิกยิ่งกว่าปราสาทในหนังสือการ์ตูน ก็คือความงดงามของน็อยชวานชไตน์ที่มีอยู่จริง โดยสิ่งที่ทำให้ปราสาทแห่งนี้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น คือการสร้างอยู่ในเทือกเขาแอลป์แถบแคว้นบาบาเรีย ถูกสร้างมาโดยสถาปัตยกรรมแบบโกธิคผสมผสานกับยุคกลาง หากใครเป็นแฟนการ์ตูนดิสนีย์ละก็ บอกเลยว่าห้ามพลาด

2. ประตูบรันเดินบวร์ค (Brandenburger Gate)

งดงามไม่เป็นสองรองใครกับ “ประตูบรันเดินบวร์ค (Brandenburger Gate)” หนึ่งในแลนด์มาร์คของเยอรมนีกับประตูเมืองเก่า ที่ยังคงความงดงาม และให้บรรยากาศเหมือนย้อนกลับไปในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 เพราะประตูเมืองแห่งนี้ถือว่ายืนหยัดผ่านเหตุการณ์มากมายหลายอย่างที่สำคัญต่อประเทศเยอรมนี นอกจากความงดงามแล้วประตูเมืองแห่งนี้ ยังถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพ และสันติภาพ หากใครมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยือนเมืองเบอร์ลิน แนะนำว่าให้ไปเยือนสักครั้ง

3. อาสนวิหารโคโลญ (Cologne Cathedral)

หากนิยายเรื่องไหนที่มีโบสถ์ทรงโกธิคสูงสง่า มีความงดงาม อาสนวิหารแห่งเมืองโคโลญนี้มีความงดงามไม่ต่างจากนั้น ซึ่งอาสนวิหารนี้ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คชื่อดังของเมืองโคโลญ มีความเก่าแก่เป็นมามากกว่า 700 ปีมาแล้วด้วยกัน มีความสำคัญตรงที่เป็นอาสนวิหารของชาวโรมันคาทอลิก ถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมโกธิคแบบดั้งเดิม ก็คือหลังคาโบสถ์จะมีความสูงชะลูด มีทรงหลังคาโบสถ์ที่แหลม และใช้โทนสีดำเป็นส่วนใหญ่ ถูกสร้างขึ้นมาด้วยการใช้ปูนปั้น และที่อาสนวิหารโคโลญนี้จะมีรูปปั้นนักบุญประดับตกแต่งอยู่มากมาย โดยหากใครอยากลองเดินขึ้นไปด้านบน จะต้องจ่าย 3 ยูโรเพื่อเป็นค่าผ่านทางเดินขึ้นไปยอดด้านบนสุด

4. เกาะรือเกิน (Rügen Island)

แม้ว่าจะเป็นเกาะ แต่ทว่าเกาะรือเกินก็มีความงดงามไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันกับที่เที่ยวทั้งหลายบนฝั่งเมืองเบอร์ลิน โดยเกาะแห่งนี้ถือว่าเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่มากที่สุดในประเทศเยอรมณี โดดเด่นที่ความงดงามของธรรมชาติเหมือนกับหลุดไปอยู่ในหนังสือนิยายสมัยก่อน เพราะว่าบนเกาะนี้เป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติยัสมุนท์ (Jasmund National Park) จึงทำให้ธรรมชาติยังคงความอุดมสมบูรณ์ และมีวิวธรรมชาติสวยๆ เพียบ ไฮไลท์ไม่ใช่แค่หาดทรายที่ทอดยาว และวิวมหาสมุทรที่งดงามแต่เพียงเท่านั้น ยังรวมไปถึงหน้าผาริมทะเล ป่าไม้ที่คงความเขียวขจี ใครเป็นนักท่องเที่ยวสายธรรมชาติต้องห้ามพลาดที่เที่ยวแห่งนี้เลย

5. มหาวิหารเบอร์ลิน (Berlin Cathedral)

มาต่อกันที่มหาวิหารแห่งถัดไปของเยอรมนี ก็คือ “มหาวิหารเบอร์ลิน (Berlin Cathedral)” จุดท่องเที่ยวน่าสนใจ และเป็นมหาวิหารเก่าแก่ของเมืองเบอร์ลิน มีจุดเด่นที่สังเกตได้อย่างง่ายดายมากเลยก็คือ โดมด้านบนมหาวิหารที่มีสีฟ้าสวยงาม มีลักษณะเป็นโดมตรงกลางขนาดใหญ่ และมีโดมสีฟ้าด้านข้างอีกสองโดม ด้วยความสูงที่มากถึง 70 เมตร ทำให้มหาวิหารเบอร์ลินเป็นที่สังเกตง่ายดายอย่างแน่นอน ความพิเศษนอกจากนั้นก็คือสถาปัตยกรรมที่ใช้ในการสร้างมหาวิหารเบอร์ลินจะใช้เป็นศิลปะแบบโกธิค ผสมผสานกับสถาปัตยกรรมแบบเรเนอซองส์ ใครไปเยือนเบอร์ลินแล้วอย่าลืมไปเช็คอินที่นี่

6. ปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle)

ใครชอบเที่ยวสไตล์ปราสาท แนะนำอีกหนึ่งปราสาทสวยเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเทพนิยายกับ “ปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle)” หรือว่าที่คนเยอรมันจะอ่านออกเสียงว่า ปราสาทไฮเดแบร์ก เป็นปราสาทหินทรายออกแดงที่ตั้งอยู่ฝั่งริมแม่น้ำ ภายในเมืองไฮเดลเบิร์กของเยอรมนี ตัวปราสาทนั้นถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 16 แล้ว แต่หลังจากการถูกทำลายมาหลายครั้ง ก็ได้มีการบูรณะขึ้นใหม่อีกครั้งในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยศิลปะโกธิค และได้ทำการต่อเติมโดยใส่ความเป็นเรเนอซองส์ลงไป เป็นหนึ่งในปราสาทที่โรแมนติกมากของเยอรมนี

7. จัตุรัสมาเรียนพลาตซ์ (Marienplatz)

สิ่งที่ทำให้ยุโรปมีความเป็นเอกลักษณ์ ก็คือจตุรัสที่ตั้งอยู่ตามย่านเมืองเก่าแก่ต่างๆ ของประเทศนั้นๆ สำหรับเมืองมิวนิค “จัตุรัสมาเรียนพลาตซ์ (Marienplatz)” แทบจะเป็นไฮไลท์ลำดับต้นๆ ของเยอรมนีเลยก็ว่าได้ หากใครมีโอกาสได้ไปเที่ยวเยอรมนีก็ไม่อยากจะให้พลาดการไปเยือนจัตุรัสมาเรียนพลาตช์นี้ เพราะเป็นจัตุรัสที่งดงามเป็นอย่างมาก โดดเด่นด้วยการห้อมล้อมไปด้วยโบสถ์สวยงาม และอาคารสวยๆ ที่มีความเก่าแก่ เป็นที่ตั้งของเสาพระแม่มารี และเป็นจัตุรัสประจำเมืองมิวนิคมาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ยิ่งถ้าใครอยากเห็นวิวสวยมุมสูงของจัตุรัสนี้ แนะนำให้ขึ้นไปบนยอดมหาวิหาร แล้วมองลงมารับรองเลยว่าสวยยิ่งกว่าในนิยายแน่นอน

8. มหาวิหารฟาสเอ็นเคเคีร์ย (Frauenkirche)

ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คหลักของมิวนิค หรือว่าบริเวณจัตุรัสมาเรียนพลาตช์เลยก็ว่าได้ ถ้าเอ่ยถึงจัตุรัสมาเรียนแล้วไม่ได้เอ่ยถึงมหาวิหารนี้ เห็นทีจะเหมือนกับมาไม่ถึงมิวนิคสักเท่าไหร่ เพราะว่ามหาวิหารแห่งนี้มีความสำคัญถึงกับเป็นมหาวิหารสำคัญของมิวนิค และแคว้นบาวาเรีย แนะนำว่าถ้าใครอยากเห็นวิวเมืองสวยๆ ให้ไปที่หอคอยทางทิศใต้ เพราะมีความสูงมากถึง 99 เมตร และสามารถเดินขึ้นไปด้านบนได้ ด้วยสถาปัคยกรรมแบบโกธิคดั้งเดิม ทำให้โบสถ์นี้กลายเป็นอีกหนึ่งโบสถ์สำคัญของเยอรมนี

9. ปราสาทซวิงเกอร์ (Zwinger Palace)

ราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในงานเลี้ยงน้ำชาของเทพนิยายสักเรื่อง สำหรับ “ปราสาทซวิงเกอร์ (Zwinger Palace)” อันเป็นพระราชวังฤดูร้อน โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบบาร็อค ทำให้มีความงดงามแตกต่างกับพระราชวังอื่นๆ ที่มักจะสร้างด้วยรูปแบบของโกธิค และเรเนซองส์ มีความสำคัญตรงที่เป็นปราสาทของผู้ครองนคร ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเอลเบอ ความสวยงามของปราสาทแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงรูปแบบของตัวตึกอาคารแต่เพียงเท่านั้น ยังงดงามไปด้วยสวน และน้ำพุที่อยู่ล้อมรอบ

10. ปราสาทเอลทส์ (Eltz Castle)

เดินทางมาถึงอีกหนึ่งปราสาทที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง กับ “ปราสาทเอลทส์ (Eltz Castle)” เป็นหนึ่งในปราสาทที่มีความสวยงาม และเก่าแก่เป็นอันดับต้นๆ ของเยอรมนีเลยทีเดียว ปราสาทแห่งนี้ได้เกิดขึ้นมาในสมัยยุคกลาง เป็นปราสาทส่วนตัวของคนในตระกูลเอลทส์ มีความเก่าแก่มานานมากกว่า 800 ปีแล้วด้วยกัน ถือว่าเป็นปราสาทที่งดงามแห่งหนึ่งในเยอรมนี ปราสาทเอลทส์ได้ตั้งอยู่บนเนินดินที่มีความสูงมากกว่า 70 เมตรด้วยกัน และถูกต่อเติมจนกลายมาเป็นปราสาทที่มีความใหญ่โต เอกลักษณ์โดดเด่นของปราสาทเอลทส์อีกอย่างก็คือตั้งอยู่กลางป่า ทำให้ได้ฟีลเหมือนปราสาทเทพนิยายที่ลึกลับตั้งอยู่ในป่า

11. พระราชวังชาร์ล็อทเทินบวร์ค (Charlottenburg Palace)

นอกเหนือจากจะเป็นพระราชวังที่สวยงามแล้ว พระราชวังชาร์ล็อทเทินบวร์ค (Charlottenburg Palace) ยังเป็นพระราชวังที่มีความใหญ่โตมากที่สุดในเบอร์ลินอีกด้วย โดยพระราชวังนี้เป็นพระราชวังฤดูร้อนที่ถูกสร้างโดยใช้สถาปัตยกรรมบาร็อค โดดเด่นด้วยอาคารแบบบาร็อคที่มีโดมสูงสีฟ้า รายล้อมไปด้วยตึกมากมาย ความสวยงามของพระราชวังนี้ไม่ได้มีแค่ตัวตึกเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงรูปปั้น หรือปะติมากรรมมากมายที่อยู่ภายในพระราชวังนี้ นักท่องเที่ยวทั่วไปสามารถเข้าไปชมด้านในได้ และแนะนำเป็นอย่างมากสำหรับคนที่ชื่นชอบงานศิลปะ

12. ปราสาทดราเคินบูร์ก (Schloss Drachenburg)

เห็นจุดเด่นของโทนสีพาสเทลจะทำให้นักท่องเที่ยวมากมาย ตั้งใจเดินทางมาชมปราสาทดราเคินบูร์ก (Schloss Drachenburg) ที่ตั้งอยู่ภายในเมืองเคอนิจส์วินเทอร์กันโดยเฉพาะ สำหรับปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทส่วนตัว ที่ถูกสร้างขึ้นโดยบารอนชเตฟัน ฟอน ซาร์เทอร์ (Stephan von Sarter) ที่ใช้เวลาสร้างขึ้นมาเพียงแค่สองปีเท่านั้น จุดเด่นสำคัญนอกเหนือจากสถาปัตยกรรมของปราสาทนี้แล้ว จุดเด่นอีกอย่างคือโทนสี เพราะปราสาทแห่งนี้จะถูกทาด้วยโทนชมพู และมีหลังคาสีฟ้า ดูยังไงก็เหมือนหลุดออกมาจากหนังสือนิทานไม่มีผิดเลย

13. โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ (Rothenburg ob der Tauber)

ไม่ใช่แค่เหมือนหลุดมาจากในหนังสือนิทานแต่เพียงเท่านั้น ทว่า “โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ (Rothenburg ob der Tauber)” แลนด์มาร์คสุดปังของเยอรมนีแห่งนี้ยังเป็นถนนที่สุดแสนจะโรแมนติก ที่ไม่ว่าใครที่มาเยือนเยอรมนีต่างก็ต้องมายืนโพสท่าถ่ายรูปกันบริเวณนี้แทบทั้งสิ้น เพราะเมืองนี้เป็นเมืองโบราณจากสมัยในยุคบาวาเรีย และตึกอาคารถูกสร้างขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบโกธิค ผสมผสานเรเนอซองส์ แถมถนนหนทางยังถูปูด้วยหิน ทำให้สถานที่แห่งนี้เพิ่มความคลาสสิกมากขึ้น แถมย่านเก่านี้ยังถูกล้อมรอบไว้ด้วยกำแพงไม้อีกด้วย

14. พระราชวังซ็องซูซี (Sanssouci Palace)

พามาเที่ยวพระราชวังกันอีกแห่งนี้ที่การันตีเลยว่าสวยงามเหมือนในเทพนิยายอย่างแน่นอน โดยพระราชวังนี้ก็เป็นหนึ่งในพระราชวังฤดูร้อนเช่นเดียวกับที่อื่นทั่วไป แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือสถาปัตยกรรมแบบร็อคโคโค่ที่แตกต่างจากปราสาทอื่น ที่มักจะเป็นสไตล์แบบโกธิค ไม่ก็บาร็อค จึงทำให้ “พระราชวังซ็องซูซี (Sanssouci Palace)” เป็นคู่แข่งตัวเต็งของพระราชวังแวร์ซายส์ชนิดที่ว่ากินกันไม่ลงเลยทีเดียว เป็นพระราชวังที่บอกเลยว่าถ่ายรูปสวยทุกมุม ทั้งด้านนอกและด้านใน

15. ปราสาทลิกเตนสไตน์ (Schloss Lichtenstein)

ปิดท้ายกันด้วยที่เที่ยวแนวเทพนิยายแห่งสุดท้ายของเยอรมนี ขอยกตำแหน่งให้กับ “ปราสาทลิกเตนสไตน์ (Schloss Lichtenstein)” ที่น่าสนใจตั้งแต่ที่ตั้งของปราสาทแห่งนี้ ด้วยความที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่มีทางขรุขระ ทำให้เวลาที่จะเดินทางเข้าไปยังตัวปราสาทด้วยสะพานไม้ สถาปัตยกรรมของปราสาทลิกเตนสไตน์ดูแล้วจะเหมือนกับกำลังดูการ์ตูนที่มีอัศวินกำลังปีนขึ้นไปช่วยเจ้าหญิงบนหอคอย เพราะว่าปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 12 เพื่อเอาไว้เป็นป้อมปราการของอัศวินแห่งลิกเตนสไตน์นั่นเอง

แม้ว่าความสวยงามของที่เที่ยวมากมายของเยอรมนียังไม่ได้หมดลงเท่านี้ เป็นเพียงแค่ตัวอย่างที่หยิบยกขึ้นมาเท่านั้น เพราะนอกเหนือที่เที่ยวแบบพระราชวัง ปราสาท จะยังมีพิพิธภัณฑ์ ที่เที่ยวทางธรรมชาติมากมายรอให้คุณไปสัมผัส ในตอนนี้หากใครมีวีซ่าพร้อม วันหยุดพร้อม เงินในกระเป๋าครบ แนะนำว่าไม่ต้องลังเล จองตั๋วเครื่องบินไปเยอรมนีแล้วปักหมุดเอาไว้ยังที่เที่ยวแห่งนี้ได้เลย

จองโรงแรม
จองตั๋วเครื่องบิน
Things to Do
รับทราบข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
สมัครรับจดหมายข่าวของเรา เพื่อคำแนะนำการท่องเที่ยวและรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้น พร้อมด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น
สมัคร