สิงคโปร์ เกาะเล็กๆ ใกล้บ้านเราที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวไทยให้ไปเที่ยวอยู่เสมอ เพราะมีสิ่งน่าสนใจ การพัฒนาใหม่ๆ ที่ทำให้เราต้องตื่นตาตื่นใจทุกครั้ง รีวิวนี้จะมาบอกเล่าความเป็นสิงคโปร์ในรูปแบบใหม่ๆ “vibrant city” ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน สีสันของวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัวกับความโมเดิร์นของตึกและสถาปัตยกรรม พร้อมแนะนำสถานที่เด็ดๆ กิจกรรมที่เมื่อไปสิงคโปร์แล้วห้ามพลาด อาหารที่ต้องลองชิม แอปฯ ช่วยชีวิตในสิงคโปร์ และเรื่องราวของมนุษย์ออฟฟิศหญิงคนหนึ่งที่โดนเทกลางอากาศที่สนามบิน แต่ก็บินเดี่ยวไปเที่ยวสิงคโปร์ได้แบบสวยๆ เอาล่ะ Let’s the show begin :D
First jobber แบบเรา ทำงานมาได้สักพักก็อยากหาเวลาสั้นๆ ไปเที่ยวเติมพลังบ้าง เราเลยชวนเพื่อนไปเที่ยวกัน หาสถานที่กันอยู่นานจนมาลงตัวที่สิงคโปร์เพราะอยู่ใกล้ๆ ไทย ที่สำคัญค่าตั๋วเครื่องบินไม่แพง การเดินทางง่าย อาหารการกินราคาพอรับไหว เราเลยได้โอกาสกลับไปสัมผัสสิงคโปร์อีกครั้ง ไม่ได้ไปสิงคโปร์มา 8 ปีแล้ว จะมีอะไรเปลี่ยนไปแค่ไหนกัน ต้องตามไปดู
เตรียมตัวก่อนออกเดินทาง
จองตั๋วเครื่องบิน
การเตรียมตัวครั้งนี้ก็เริ่มจากการจองตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ เราพยายามควบคุมค่าตั๋วเครื่องบินให้ได้ราคาถูกที่สุด เพราะจะได้เซฟเงินไปช็อป ไปกินให้เต็มที่ เราก็เลยเลือกจองกับ Traveloka เว็บไซต์จองตั๋วเครื่องบินและที่พักที่เราไว้ใจให้เป็นเพื่อนเที่ยวเสมอ เพราะจองง่าย ไม่ต้องมีบัตรเครดิตก็จองออนไลน์ได้ ที่สำคัญมีโปรโมชั่นเยอะ ใช้ส่วนลดในแอปฯ ก็ลดเพิ่มอีก ข้อดีครบขนาดนี้ กดจองได้เลย! เราได้ตั๋วเครื่องบินไปกลับสิงคโปร์-กรุงเทพฯ (28 มีนาคม - 1 เมษายน 2561) ในราคา 3,249 บาท (ใช้โค้ดส่วนลด ลดเพิ่มไปอีก 200 อิอิ) ขาไปเป็น NOKSCOOT ขากลับเป็น JETSTAR
เช็คราคา จองตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ ราคาพิเศษ
จองที่พัก
จองตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์เสร็จแล้วก็จองที่พักกันต่อเลย และแน่นอนว่าก็จองกับ Traveloka เช่นกัน ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นเกาะ ที่พักจะแพงมาก และครั้งนี้เป็นทริปเที่ยวแบบจำกัดงบ เราเลยเจาะจงพักโฮสเทลและโรงแรม 1-2 ดาว ลองหาข้อมูลไปเรื่อยๆ จนมาเจอ City Inn Mackenzie ราคาที่พักโอเค หารกับเพื่อนแล้วตกคนละ 900 บาท (รวม 3,600 บาท) แถมยังใกล้ MRT Little India มากๆ แบบเดิน 5 นาทีก็ถึงแล้ว สะดวก เลยจองโลด
จองที่พัก City Inn Mackenzie ในสิงคโปร์ ที่ Traveloka คลิกที่นี่
เราแลกเงินสิงคโปร์ไปประมาณ 7,000 บาท (เผื่อซื้อของฝาก ซื้อขนม) แล้วก็พกบัตรเดบิตไปเผื่อ ซึ่งบอกเลยว่า เงินสดเหลือนะเอองบ นี่ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเลยว่าจะใช้ประมาณไหน แนะนำว่าควรซื้อSIM ไปด้วยเพื่อสะดวกในการติดต่อ เราเลือก AIS Sim2fly 399 บาทเน็ตไม่จำกัด ใช้ได้ 7 วัน เพื่อความอุ่นใจ มีเน็ต ไม่ตายแน่นอน
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วก็ได้เวลาไปลุยเดี่ยวเที่ยวสิงคโปร์กันแล้ว
แนะนำแอปฯ สำหรับการเดินทางและการกินอาหาร
การเดินทาง
การเดินทางในสิงคโปร์สะดวกมากตรงที่เกือบทุกแลนด์มาร์คเราสามารถเดินทางด้วย MRT ได้ แถมค่าเดินทางก็ถูก รอบละประมาณ 2 SGD (ประมาณ 46 บาท)
เราแนะนำว่าให้ซื้อ EZ-ink (12 SGD = 276 บาท เงินในบัตรใช้ได้ 7 SGD) แล้วค่อยเติมเงินเอาดีกว่า ถ้าเราไม่ได้ hop ไปมาระหว่าง MRT ขนาดนั้น เราเติมเงินไป 25 SGD สำหรับเดินทางสี่วัน เงินเหลือด้วย
แต่สำหรับคนที่มีเวลาน้อย อยากไปเที่ยวทุกสถานที่ ใช้ MRT เยอะ อยากแวบไปนู่นมานี่บ่อยๆ ก็แนะนำให้ใช้ Tourist Pass แบบ 3 วัน 20 SGD (ประมาณ 600 บาท) ก็คุ้มกว่า
ถ้าใครเคยไปเกาหลี ญี่ปุ่นมา MRT สิงคโปร์ก็ถือว่าเดินทางได้ง่าย ไม่ซับซ้อน มีแผนที่ฟรีให้หยิบตาม MRT เพียบ หรือถ้าไม่อยากพกแผนที่เราก็มีแอปฯ มาแนะนำ
แอปฯ นี้ดีตรงที่เราใส่สถานีที่เราอยู่ลงไป แล้วก็ปลายทางที่เราอยากไป แอปฯ ก็จะคำนวณเส้นทางให้เลยว่าเราต้องลงตรงไหน เปลี่ยนสถานีตรงไหน ใช้เวลาเท่าไร
นอกจากนี้เรายังเลือกได้ด้วยว่าเราอยากเดินทางแบบไหน ถ้าอยากถึงเร็วก็เลือก Fastest ไม่อยากเดินเปลี่ยนสถานีเยอะ ก็เลือก Less Transfer แล้วในแอปฯ ก็จะมีแผนผัง MRT ให้เราเช็คด้วย ไม่หลงแน่นอนจ้า
แอปฯ นี้ใช้สำหรับจองร้านอาหาร คาเฟ่ในสิงคโปร์ ถ้าเราไปเที่ยวแล้วติดวันเสาร์ อาทิตย์เนี่ย ร้านอาหารจะแน่นมาก Singaporean เขาจะชอบออกมาชิทแชท กินข้าวกับครอบครัว หรือไป hang out ตามคาเฟ่กันตั้งแต่เช้า เราก็เลยต้องมีแอปฯกันตายไว้จองที่นั่งร้านอาหารดังๆ ที่อยากไป ไม่ต้องไปยืนรอให้เมื่อย แถมยังมีดีลร้านอาหารในแอปฯ อีกด้วย
แค่ ค้นหาชื่อร้านที่เราอยากไป จองที่นั่ง แล้วก็รอแจ้งเตือนได้เลย เห็นไหมไม่ยุ่งยาก แค่มีแอปฯ ดีๆ ก็สะดวกขึ้นเยอะ
ทริปนี้เป็นทริปที่จำไม่รู้ลืม วันแรกก็เจอดีเลยจ้ะ นั่งรถเมล์ A1 มาชิลล์ๆ ปกติใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง วันนี้รถติดมาก ติดอยู่ในสนามบินเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วที่แย่กว่านั้นคือจะลงเดินก็ไม่ได้ เพราะเป็นทางรถยนต์หมดเลย สายค่ะ สาย! นั่งมองนาฬิกาคือเหลืออีกไม่ถึงสิบนาทีเกทจะปิด แต่รถยังเคลื่อนไปไม่ถึงขาออกเลยจ้ะ ลุ้นมาก พอรถจอดปุ๊บ วิ่งเข้าเกทกันแทบไม่ทัน เรากับเพื่อนเช็คอินสายไปเกือบสิบนาที เป็นสองคนสุดท้าย! ยิ่งไปกว่านั้น เราก็งง เฮ้ย ทำไมเช็คอินนานจัง ปกติแค่เช็คพาสปอร์ต กระเป๋าโหลดก็ไม่มี น่าจะเสร็จได้แล้ว เคานท์เตอร์ก็บอกว่า มีผู้โดยสารคนนึงไปไม่ได้นะคะ เราก็แบบ อ้าว ทำไมล่ะ เขาก็บอกว่า “พาสปอร์ตของผู้โดยสารมีอายุเหลือไม่ถึง 6 เดือนค่ะ เราไม่สามารถให้ผู้โดยสารขึ้นเรื่องได้ค่ะ เพราะเป็นกฎของสิงคโปร์ ผู้โดยสารอีก 1 คนต้องเลือกนะคะ ว่าจะไปด้วยกัน หรือจะทิ้งตั๋ว” สุดท้ายก็ตัดสินใจไปเที่ยวสิงคโปร์คนเดียวเพราะเสียดายเงินจะมาทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปมันก็ดับฝันกันไปหน่อย (ร้องไห้ในใจ T___T)
แม้จะเหงาๆ แต่เพื่อนก็คอยโทรฯ มาถามตลอดว่าโอเคไหม ซึ่งก็ทำให้เราอุ่นใจขึ้นเหมือนกัน เมื่อถึง Changi Airport เราก็แวะซื้อแซนด์วิช Paris Baguette ซึ่งอร่อยมากหากใครยังไม่เคยลองกินเราขอแนะนำ จากนั้นก็ซื้อบัตร EZ-ink นั่ง MRT เข้าเมือง ลงสถานี Little India เพื่อไปยังโรงแรม City Inn Mackenzie ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง โชคดีที่โรงแรมอยู่ใกล้ MRT มากๆ แบบเดินไปถนน Mackenzie แล้วก็เจอเลย สีแดงเป็นสง่า โรงแรมเป็นเหมือนโฮสเทลเล็กๆ ตกแต่งน่ารักดี ห้องขนาดพอเหมาะ ที่สำคัญคือ location ดีมาก ข้างๆ โรงแรมมีศูนย์อาหารอยู่ด้วย เริ่ด! ศูนย์อาหารสิงคโปร์คือที่ๆ ต้องไปโดนนะจ๊ะ นอกจากจะถูกแล้วคืออาหารดีมาก บอกเลย เราฝากท้องมื้อเช้าไว้เกือบทุกวัน
วันแรกก็เริ่มด้วยการโดนเท แล้วก็กลับมานอนเซที่โรงแรมนะคะ
เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยมื้อเช้าแบบชาวสิงคโปร์ คือ Kaya Toast กับชาอุ่นๆ วันนี้เราก็เลยไปตามรอยร้านดัง Yakun Kaya Toast สาขาต้นตำรับกันถึง Far East Square MRT China Town ค่ะ
Yakun Kaya Toast เป็นร้านที่ชาวสิงคโปร์แวะเวียนมาฝากท้องมื้อเช้ากันเป็นประจำ คล้ายโกปี๊บ้านเรา บรรยากาศร้านก็จะเป็นร้านกาแฟต้นตำรับจีนๆ มีเมนูให้เลือกหลายอย่าง การบริการก็จะรวดเร็วและเร่งรีบ 555 เพราะคนค่อนข้างเยอะ มีคุณลุงคนนึงน่ารักมาก มารับออเดอร์แล้วก็ถามว่าเรามาจากไหน เราก็บอกว่าเป็นคนไทย คุณลุงก็เลยแนะนำเมนู Original คือขนมปังกรอบทาเนยและสังขยา พร้อมไข่ลวก และเราก็สั่งชาร้อนมาอีกแก้วนึง
วิธีการกิน Kaya Toast คือ เราต้องคนไข่ลวก ปรุงรสตามชอบ (คุณลุงมากระซิบ พูดเป็นภาษาไทยว่า เหยาะซีอิ๊ว พริกไทยนิดๆ คนเบาๆ น่ารักมาก แม้จะไม่ชัด แต่ประทับใจมาก) แล้วก็เอาขนมปังสังขยาจิ้มกับไข่ลวก จิบชาไปด้วย ฟินมาก! ชาเข้มมาก แล้ว Kaya Toast ก็อร่อยมาก หวานๆ มันๆ ต้องมาลอง
กินเสร็จก็เดินเล่น China Town ไปพลางๆ ย่านนี้จะเป็นอารมณ์ China Town Vibes ตึกสีสัน โคมไฟสีแดงประดับเต็มไปหมด แถมร้านอาหารจีนต้นตำรับ บะกุ๊ดเต๋เอย ติ่มซำเอย ร้านอร่อยเด็ดๆ อีกเพียบ ถ่ายรูปสวยมาก เป็นอีกย่านนึงที่เราชอบมากๆ เลย
เดินเล่นสักพักท้องก็เริ่มร้อง ก็เลยแวะกินบะกุ๊ดเต๋สักหน่อย บะกุ๊ดเต๋ที่สิงคโปร์จะแตกต่างจากบะกุ๊ดเต๋ที่เรากินที่ไทย ของบ้านเราจะคล้ายของมาเลเซียคือคล้ายซี่โครงตุ๋นยาจีน มีพวกสมุนไพร ผักกาด เห็ด แต่ของสิงคโปร์นั้นไม่เหมือนกันนะจ๊ะ บะกุ๊ดเต๋ที่สิงคโปร์จะเป็นซี่โครงหมูตุ๋นพริกไทย เนื้อนุ่มๆ น้ำซุปใสแต่เผ็ดร้อน สิบสิบสิบไปเลยจ้า ต้องลอง
ร้านที่แนะนำให้ไปลองคือ Song Fa Bah Kut Teh มีหลายสาขามาก แต่ถ้าใครมาเดินเล่นแถว China Town ก็ลองแวะไปชิมกันดูได้ที่ห้าง China Town Point (MRT China Town ทางออก G ค่ะ) สนนราคาที่ 9 SGD = 200 บาท :)
กินเสร็จแล้วก็แวะไปเดินเล่นตรง Marina Bay กันค่ะ Marina Bay เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของ Landmark และ museum ต่างๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Marina Bay Sands โรงแรมหรูและคาสิโนชื่อดัง ห้างสุดหรูอย่าง The Shoppes Art สวนดอกไม้อย่าง Garden by the Bays และ Merlion Park เดินวันเดียวก็ไม่หมดค่ะ วันนี้เลยขอเก็บแค่ The Shoppes และบรรยากาศรอบ ๆ Marina Bay Sands ก่อน ฝนตกด้วย แต่ก็ไม่หวั่นค่ะ มาดูรูปบรรยากาศ Bay area วันฝนพรำกันค่ะ
BAY AREA ON RAINY DAY เคยคิดว่าเที่ยวตอนฝนตกคงไม่สนุกหรอกถ่ายรูปไม่น่าจะสวย แต่ผิดถนัด ความรู้สึกเหมือนอยู่นิวยอร์ก หรือ ชิคาโก้มีแม่น้ำเลค มีตึกสูงๆ โมเดิร์นๆ เต็มไปหมด
ปิดท้ายวันด้วยภาพ The Shoppes ห้างที่มีทุกอย่าง แม้กระทั่งเรือ Gondola
เริ่มต้นวันที่สองด้วยการไปย่าน Art Street และคาเฟ่สุดชิคคล้ายแถบอารีย์บ้านเรา อย่าง Haji Lane, Bugis ถนนฮิปสเตอร์ที่สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านอาหารน่ารักๆ ร้านขายของกระจุกกระจิก และภาพเพ้นท์สีสันสวยงามที่ต้องแวะไปชักภาพสักครั้ง
อากาศร้อนแบบนี้ เลยแวะไปทาน Brunch จิบกาแฟที่ร้าน STATELAND แถว ๆ Haji Lane ซะเลย
STATELAND CAFE เป็นคาเฟ่เล็กๆ อบอุ่น มี brunch สไตล์ฟิวชั่น เครื่องดื่ม และไอศกรีมโฮมเมดสัญชาติสิงคโปร์ขาย มีเมนู set brunch สุดคุ้มที่รวมอาหารและเครื่องดื่มในราคาราวๆ 20 SGD = 460 บาทอยู่ด้วย คุ้มมาก!
เราสั่งกิมจิคาโบนาร่า กับ Caramel Macchiato กิมจิคาโบนาร่าคืออร่อยมาก ความเปรี้ยวของกิมจิมันตัดเลี่ยนได้ดี กินเพลินมาก ปริมาณเยอะมากด้วย ส่วนกาแฟคือเข้มแล้วก็หอมคาราเมลมาก ปลื้ม!
ช่วงบ่ายขอวาร์ปไปแถว Bay เนื่องจากทนความร้อนแรงของแดดไม่ไหว ขอเดินในที่เย็นๆ มีแอร์แล้วกัน แต่จะให้เดินห้างก็เบื่อแล้ว เราเลยไปเข้า art science museum ชมนิทรรศการศิลป์ๆ ดีกว่า
Future Word Where Art Meets Science at ART SCIENCE MUSEUM
นิทรรศการสุดล้ำที่ผสมผสานระหว่างแสง สี และความล้ำสมัยของเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ผ่านการสร้างของ TeamLab Japan ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะและดิจิทัลที่ได้สร้างสรรค์นิทรรศการที่สามารถ interact กับคนดูได้จริง!
ภายใน museum จะมีกิจกรรมมากมายให้เราทำ แบ่งเป็นห้องต่างๆ ตาม theme ที่จัดไว้ เช่น มีห้องพักผ่อนที่จัดบีนแบ็กไว้ให้เรานอนดูเกลียวคลื่น ฟังเสียงเพลงบรรเลง รีแลกซ์ไปกับเวลาในขณะนั้น นอกจากนี้เรายังมีรูปสวยๆ เก็บไว้ได้อีกเพียบ
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมมากมายให้ไปทำ ไม่ว่าจะเป็นห้องบอล หรือกิจกรรมวาดรูประบายสี ดอกไม้ ผีเสื้อ ตัวละครต่างๆ แล้วเราเอาไปสแกน ผลงานของเราจะถูกโชว์ขึ้นบนผนัง หรือพื้นของห้องนิทรรศการ ซึ่งเราสามารถเล่นกับมันได้
โดยส่วนตัวเราชอบที่นี่มาก รู้สึกว่าเป็นที่ๆ บอกความเป็นสิงคโปร์ได้เยอะเลย ประเทศที่มีทั้งศิลปะ สีสัน และเทคโนโลยีทันสมัยรวมอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาเล่นและถ่ายรูปอยู่ที่นี่นานมาก (ค่าเข้าชม 16 SGD = 368 บาท)
เนื่องจากวันนี้อากาศดี ดูนิทรรศการเสร็จเราก็เลยเดินเล่นรอบเบย์ซะเลย อยากให้ทุกคนมาลองเดินเล่นแถวนี้ตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกดินดูค่ะ ท้องฟ้าสวยมาก วิวสวยมากจริงๆ เดินเล่นจาก The Shoppes ผ่าน Helix Bridge แล้วก็ไป Merlion Park ดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน แล้วก็รอดูโชว์แสงสีสุดตระการตาตรงหน้า The Shoppes
ร่ำลาวันที่ 3 กันด้วย Singapore’s Vanilla Sky ภาพท้องฟ้าสวย ๆ ยามค่ำคืนค่ะ
จองที่พักในย่าน Little India จะไม่สำรวจย่านนี้ให้ดีก็เสียดายแย่เลย ย่าน Little India นี่สีสันสูสีกับ China Town เลยค่ะ แต่ต่างกันตรงที่ย่านนี้ก็จะเห็นความเป็นอินเดียจ๋าตามชื่อ เห็นคนใส่ส่าหรีเดินกันอยู่ขวักไขว่ และมีกลิ่นเครื่องเทศเป็นเอกลักษณ์ประจำย่านนี้
เดินชมย่านนี้เสร็จก็ขอไป cafe hopping ที่ร้าน Strangers Reunion (MRT Outram Park Exit G) คาเฟ่สุดฮิตของนักเดินทางขาจรเช่นเราและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในสิงคโปร์ ตามคอนเซ็ปต์ชื่อร้าน ‘คาเฟ่โปร่ง’ ตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดตา มีขายทั้งเครื่องดื่ม เบเกอรี่ breakfast and brunch แพนเค้ก และวาฟเฟิลเลย
เราสั่งวาฟเฟิลราดด้วยโฮมเมดเบอร์รี่ซอส อร่อยดี เปรี้ยวๆ สดชื่นมาก ตัววาฟเฟิลก็กรอบนอกนุ่มใน อร่อยยย ส่วนเครื่องดื่มเราสั่ง Sea Salt Chocolate คือชื่อดูน่ากินมาก แต่รสชาติไม่โอเคเลยค่ะ แอบเฟลนิดนึง แต่ให้อภัยตรงขวดน่ารัก มื้อนี้ประมาณ 20 SGD ค่า
ช่วงบ่ายเราจะไปย้อนวัยที่ Sentosa ค่ะ ที่นี่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเราวัยเด็กเลย เพราะเคยมาเที่ยวสวนสนุกกับเพื่อน สมัยนั้นยังไม่มี universal เลยค่ะ
การเดินทางมา Sentosa คือนั่ง MRT มาลง Harbourfront ออกมาก็จะเจอกับ Vivo City ค่ะ จะมีป้ายบอกทางไป Sentosa ในห้างเลยค่ะ (แนะนำสำหรับนักช็อป ที่นี่คือห้างใหญ่มาก มีโปรโมชั่นหลายอย่าง และของกินราคาไม่แพงเยอะมาก ไปเถอะค่ะ :D )
การเดินทางจาก Vivo City ไป Sentosa มี 3 แบบคือกระเช้า รถราง แล้วก็เดินค่ะ ซึ่งเราว่าเดินคุ้มที่สุดเพราะไม่เสียเงินสักบาทและระยะทางสั้นมาก เมื่อถึง Sentosa แล้วเราสามารถใช้รถรางโดยสารในสวนสนุกได้ฟรี และนั่งกลับมาที่ห้างก็ฟรีเช่นกัน
มาถ่ายรูปหน้า Universal เป็นที่ระลึกค่ะ คนเยอะมาก ถ้าจะมาแนะนำให้มาเป็นวันธรรมดาดีกว่าค่ะ เนื่องจากเราไม่ชอบเล่น rides หรืออะไรที่ผาดโผนเท่าไร ยิ่งมาคนเดียวด้วยเลยรู้สึกว่าเข้าไปคงไม่คุ้มค่ะ
มา Sentosa แต่ไม่เข้า Universal เนี่ยนะ ?? แล้วมาทำอะไรล่ะ ไม่ต้องกังวลค่ะ เรามีแผน เราจะมาเล่น Skyride and Luge กันที่ Sentosa ค่ะ
Skyride and Luge คือการที่เรานั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปข้างบนแล้วเล่น Luge เป็นรถที่ใช้แรงโน้มถ่วงและมือในการบังคับลงมาค่ะ (ค่าเสียหาย 8 SGD = 184 บาท เล่นได้ 2 รอบ ซื้อบัตรที่ Sea Wheel Travel MRT China Town ค่ะ ตั๋วถูกกว่าหน้างาน)
ช่วงที่เรานั่งกระเช้าขึ้นไปก็จะเห็นวิวทะเลและวิวรอบ Sentosa เลยค่ะ แล้วก็เล่น Luge ลงมาเหมือนในภาพเลย สนุกมาก เล่นสองรอบ มันส์ค่ะ ทางมันจะชันๆ หน่อย เวลาเข้าโค้งก็จะตื่นเต้นดี ขอรีวิวคือตอนเด็กๆ ที่เราเคยมาสิงคโปร์ก็จะมาเล่นอันนี้ค่ะ แต่ …. เมื่อก่อนไม่เหนื่อยขนาดนี้ 555 คือตอนนี้สองรอบคือหอบแล้วค่ะ
พอเล่นเสร็จเราก็ไปเดินเล่นดูพระอาทิตย์ตกที่ Tanjong Beach Club ค่ะ บีชคลับของสิงคโปร์นี่คึกคักมากเลยค่ะ มีทั้งครอบครัวที่มาสังสรรค์ วัยรุ่นที่หยิบกีตาร์มานั่งร้องเพลงด้วยกัน รวมถึงชาวต่างชาติที่อยากลองมาสัมผัส Beach Vibes ที่สิงคโปร์อีกด้วย
วันที่ 4 ก็จบไปด้วยท้องฟ้าสวยๆ และความคึกคักของ Tanjong Beach Club ค่ะ
วันนี้ต้องลากกระเป๋ากลับกรุงเทพฯ กลับสู่ความจริงแล้วค่ะ ไปทำงาน!!!! วันนี้เลยจะเริ่มมื้อเช้าง่ายๆ ที่ศูนย์อาหารข้างโรงแรมค่ะ
มาสิงคโปร์อยากให้ลองข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ข้าวไก่กรอบ สารพัดข้าวทำนองนี้ทั้งหมดเลยค่ะ อร่อยจริงๆ เนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย ที่สำคัญไม่แพง ราคาข้าวตาม food court จะตกอยู่ประมาณจานละ 3-5 SGD (69-115 บาท) ค่ะ ซึ่งอร่อยทุกที่ ค่าเสียหายเรามื้อนี้อยู่ที่ 2.5 SGD และชาเย็น 1.2 SGD (28 บาท) ค่ะ (พวกชากาแฟก็ต้องลองนะคะ ชาเย็น ชาร้อนอร่อยมาก จะคล้ายชาซีลอนบ้านเราแต่ชงคนละแบบค่ะ บ้านเราจะหวานมัน แต่ที่สิงคโปร์จะเข้ม หวานน้อยค่ะ)
Check out เรียบร้อยก็มุ่งหน้าไปเก็บที่สุดท้ายค่ะ นั่นคือ Gardens by the bay :)
ที่นี่เหมือนเป็นปอดขนาดใหญ่ของสิงคโปร์ค่ะ มีโดมดอกไม้สวยงาม พันธุ์ไม้หายากมากมาย และยังมี Super Tree ต้นไม้ขนาดยักษ์ที่สามารถโชว์แสงสีและเต้นตามเพลงได้ด้วย น่าเสียดายที่เราไม่ได้มาตอนกลางคืนเลยอดดูโชว์ แต่มาตอนเช้าก็จะได้อีกฟีลนึงค่ะ เห็นวิว Landmark เยอะเลย
เราซื้อบัตร OCBC Skyway เดินบนสะพาน Super Tree ค่ะ เพราะชอบดูวิวจากที่สูง ชอบเห็นวิวเมือง สนนราคา 11 SGD ซื้อที่ Sea Wheel Travel ที่เดิม
ก่อนจะจบรีวิวเราขอสรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆ นะคะ แต่ละวันเราสามารถคุมค่าใช้จ่ายได้ภายใน 1,000 บาทต่อวันค่ะ กินข้าว food court บ้าง คาเฟ่บ้าง ส่วนค่าเดินทางจะครอบคลุมแล้ว เราใช้แค่ 25 SGD = 575 บาทค่ะ
ถึงเวลา say good bye สิงคโปร์แล้วนะคะ อยากจะบอกว่าสิงคโปร์ยังมีอะไรให้เที่ยว ให้ไปลองทำ ให้ไปลองกินอีกเยอะ เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีค่าใช้จ่ายไม่เยอะมาก
ที่สำคัญเราลด budget ได้ถ้าจองตั๋วโปรฯ ได้โค้ดส่วนลดที่พัก อย่างเราที่ได้จองตั๋วเครื่องบินและที่พักผ่าน Traveloka ราคาถูก แถมจ่ายได้หลายช่องทาง สะดวกจริงๆ ค่ะ
Until We Meet Again Singapore, Prdsariya