แจกแพลนเที่ยวเมลเบิร์น 5 วัน 4 คืน (พร้อมวิธีการเตรียมตัว)

Traveloka TH
22 Oct 2019 - 7 min read

สวัสดีค่าาา เนื่องจากช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย (Melbourne, Australia) เป็นเวลา 5 วัน 4 คืน ซึ่งก่อนไปนั้นก็ต้องเตรียมตัวอยู่หลายอย่างพอสมควร ทั้งวีซ่า ตั๋วเครื่องบิน ที่พักและ แพลนทริป เราเลยจะมารีวิวสรุปให้ว่าควรทำอะไรก่อนหลังและทำอย่างไร ถ้าพร้อมแล้วไปเริ่มกันเลย!

1. โดยส่วนตัวเราเริ่มจากการทำแพลนทริปก่อน เพราะเราต้องใช้แพลนทริปนี้ยื่นเป็นเอกสารประกอบการขอวีซ่าด้วยค่ะ ซึ่งของเราง่ายมากๆ เพราะทำแบบคร่าวๆไว้ก่อน ยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากมายนัก แค่ทำเป็นแพลนว่าวันนี้จะไปเที่ยวที่ไหน ทำอะไรบ้างแค่นั้นเอง การทำแพลนทริปก่อนจะทำให้เรารู้ด้วยว่าควรจองโรงแรมนี้กี่คืน เปลี่ยนโรงแรมดีไหม หรือต้องเช่ารถด้วยรึเปล่าเป็นต้นค่ะ

ตัวอย่างแพลนทริปของเรา
เราออกเดินทางจากบ้านไปสนามบินด้วยบริการใหม่ล่าสุดจาก Traveloka ก็คือ Airport Transfer นั่นเอง ซึ่งเราสามารถเข้าไปจองรถ และนัดเวลาล่วงหน้ากับคนขับรถได้เลย สะดวกมากๆ โดยเฉพาะกับคนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัว พอถึงเวลารถก็มาจอดหน้าบ้าน ตรงเวลาเป๊ะเลย แถมราคาไม่แพงด้วย

เช็คราคา จองรถรับส่งสนามบิน

พอถึงเวลารถก็มาจอดหน้าบ้าน ตรงเวลาเป๊ะเลย รถคันใหญ่ สะอาด นั่งสบาย

ตอนจองเราสามารถเลือกประเภทรถให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสารและจำนวนกระเป๋าสัมภาระได้ ส่วนค่ารถที่จ่ายไปเป็นราคารวมทุกอย่างแล้ว ทั้งค่าน้ำมัน ค่าทางด่วน และค่าที่จอดจ้า เราเลยเลือกแบบสำหรับ 4 คนและกระเป๋า 4 ใบ รถมาคันใหญ่ซะใจ จุของได้สบายๆ

เนื่องจากเราเดินทางวันศุกร์แห่งชาติที่แถมเป็นวันศุกร์ที่ติดวันหยุดยางซะด้วย รถก็เลยค่อนข้างติด แต่โชคดีที่พี่คนขับรถเก่งและเชี่ยวชาญทาง ทำให้เราไปถึงสนามบินทันเวลา

จากสนามบินสุวรรณภูมิ กรุงเทพมหานครบ้านเรา ใช้เวลาบินไปลงที่สนามบินเมลเบิร์น (Melbourne Tullamarine International Airport) ประมาณ 8-9 ชั่วโมง เรียกได้ว่านั่งค่อนข้างนาน ค่อนข้างเมื่อยเลยล่ะค่ะ

เมื่อถึงเมลเบิร์นแล้วไม่รอช้ารีบตรงดิ่งเข้าเมืองกันเลย โดยเราใช้ Skybus เป็นรถคล้ายๆรถสนามบิน A1-A2 บ้านเราแนวๆนั้น ราคาค่อนข้างแรงค่ะอยู่ที่ 19.75 AUD คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 400 กว่าบาทเลย แต่เพื่อความสะดวกรวดเร็ว เพียง 25-30 นาทีก็เข้าไปถึงในเมืองแล้ว เรายอมจ่ายค่ะ!

Day 1: Explore CBD area with free tram!

วันแรกเราจะเริ่มต้นจากการเดินเล่นในเมืองชิวๆ แล้วก็หาอร่อยๆทานกันค่ะ และการเดินทางใน CBD area หรือ Central Business District ก็ง่ายมาก เพราะที่เมลเบิร์น CBD ก็จะอยู่ในเขตของ Free Tram Zone ด้วย แต่ถ้าใครไม่แน่ใจ เราก็แค่สังเกตที่ป้ายรถรางตามทาง ถ้ามีประโยคว่า “You’re in free tram zone” รถรางคันไหนมาก็โดดขึ้นไปได้หมดเลย ไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว จริงๆ CBD นั่งรถรางล่น วันเดียวก็ไปได้ทั่วแล้วค่ะ แต่ถ้าใครจะเดินเล่นซื้อของ บอกเลยว่าไม่พอ เพราะมีห้างร้านต่างๆเยอะมาก ส่วนรถรางสาย 35 ที่เห็นในภาพ เป็นสายท่องเที่ยววิ่งเป็นวงกลมผ่านสถานที่เที่ยวสำคัญต่างๆ บนรถคนขับก็จะเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่ให้ฟังด้วยค่ะ นั่งชมเมืองไป ฟังไป เพลินๆเน้อ

Day 2: Shopping at Queen Victoria Market and Café hopping at Fitzroy

วันที่สองเราจะเริ่มจากการไปหาอาหารเช้าทานและเดินเล่นซื้อของที่ Queen Victoria Market ที่นี่เป็นตลาดที่เก่าแก่ที่สุดและมีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของเมืองเมลเบิร์น ตลาดใหญ่มากๆ แบ่งออกเป็นหลายโซนด้วยกัน ทั้งโซนอาหารสด อาหารปรุงสำเร็จ ผลไม้ ของที่ระลึก ร้านกาแฟสวยๆ ลานกิจกรรม และอื่นๆ อีกมากมาย หลายคนบอกว่าคล้ายกับตลาดสวนจตุจักรของบ้านเรา ตลาดปิดทุกวันพุธ แต่ในฤดูหนาววันพุธตอนเย็นจะเป็น winter night market แทนจ้า

ร้าน Market Lane Coffee ร้านกาแฟชื่อดังในตลาด วิกตอเรีย ใครเป็นคอกาแฟบอกเลยว่าห้ามพลาด!

American Doughnut เป็นร้านขายโดนัททอดที่คิวยาวมาก แต่รอไม่นานนะคะ เพราะเค้าทอดเร็ว เจ้านี้เป็นโดนัททอดเคลือบน้ำตาล ข้างในสอดไส้แยมสตรอเบอรี่ กินตอนร้อนๆในอากาศหนาวๆ คือฟินมากค่ะบอกเลย ราคาอยู่ที่ 6.5 AUD ต่อ 5 อัน แต่ถ้าใครซื้อที่ winter night market คิวจะยาวกว่า รอนานกว่า แถมแพงกว่าเป็น 8.5 AUD เอากับพี่คนขายเขาสิ ไปทั้งทีก็อยากให้ลองอะเนอะ

ตอนบ่ายไปต่อกันที่ Fitzroy อีกหนึ่งย่านสุดฮิปของเมลเบิร์น ที่อัดแน่นไปด้วยร้านกาแฟ บาร์ และคลับ ใครชอบถ่ายรูปแบบฮิปสเตอร์หน้าร้านกาแฟ หรือกับ art street บนกำแพงต้องไม่พลาด หรือสายดื่มด่ำบรรยากาศเคล้า cocktail ที่นี่ก็มี roof top อยู่เพียบเลย ส่วนใครที่มา Fitzroy วันเสาร์จะมีตลาดนัดอยู่ด้วยนะคะ ชื่อ The Rose street - Artist market เสิร์ชชื่อนี้ในกูเกิ้ลแล้วเดินตามแมพไปได้เลย

The Rose street - Artist market ส่วนใหญ่จะขายของ Handmade แทบทั้งหมด มีทั้งเครื่องประดับสวยงามของสาวๆที่ทำมาจากหิน ถ้วย จาน ชาม แก้ว ที่เป็นงานเซรามิก รวมถึงภาพวาดตั้งแต่ไซส์เล็กแบบโพสต์การ์ด ยันภาพวาดติดฝาผนังอันเบ้อเริ่ม สาวหนุ่มสายอาร์ตลองไปเดินกันได้ แต่แนะนำให้หาอะไรทานไปก่อนด้วยนะคะ ที่ตลาดไม่มีอาหารขายจ้า

Day 3: Beach Day at Brighton and St.Kilda beach

วันนี้เราจะออกไปนอกเมืองกันหน่อย แต่ยังคงเดินทางสะดวกเหมือนเดิมด้วยรถเมล์และรถราง แต่คราวนี้เราต้องเสียเงินสำหรับการเดินทางแล้ว ซึ่งเราต้องมีสิ่งที่เรียกส่า Myki Card ก่อน หาซื้อได้ตามเซเว่นอีเลฟเว่นเลยค่ะ ตอนใช้ก็แค่แตะตอนขึ้นรถ แล้วก็แตะก่อนลงรถแค่นั้นเอง ส่วนถ้าใครมีรถจะใช้รถก็ได้นะคะ สะดวกและรวดเร็วเหมือนกัน

โดยที่แรกเราแพลนจะออกไป Brighton Beach กันก่อน ที่นี่ถือเป็นชายหาดที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในเมลเบิร์น ใครไปก็ต้องไปถ่ายรูปกับเจ้า Bathing boxes สีสันสดใสที่ตั้งเรียงกันมากกว่า 90 อันตามแนวชายหาด จากนั้นจะย้อนกลับมา St.Kilda Beach ในช่วงบ่ายๆเย็น เพื่อรอดูนกเพนกวินที่จะขึ้นมาอยู่ตามโขดหินในช่วงเย็น

Bathing boxes เรียงตัวแต่ละอันก็จะมีลวดลายสีสันสดใส แตกต่างกันออกไป ใครชอบอันไหน อยากจะไปถ่ายรูปคู่เก็บเอาไว้ดูเล่น ก็เดินเลือกได้เลย น่ารักมากๆค่ะ

จาก Brighton beach เราจะนั่งรถเมล์น้อยขึ้นไปที่ St.Kilda beach กันในช่วงเย็นเพื่อรอดูนกเพนกวินตัวน้อยว่ายขึ้นมากจากน้ำกัน ที่ St.Kilda beach ให้เรามองหาป้ายที่เขียนว่า Penguin Balcony ตรงนั้นจะเป็นที่ที่ถูกจัดไว้สำหรับดูนกเพนกวินค่ะ สำหรับช่วงเวลาที่นกเพนกวินน้อยจะขึ้นจากน้ำก็คือช่วง 17.45-19.45 นะคะ ส่วนเวลาถ่ายรูปน้องเพนกวินน้อย ทุกคนห้ามใช้แฟลชนะคะ ไม่งั้นน้องจะตกใจและแสบตาหันหลังให้แบบนี้

Day 4: Visiting historical places (Shrine of Remembrance, Royal Botanic Gardens Victoria, Flinders railway station, St Paul’s Cathedral, State Library of Victoria)

แพลนของวันนี้คือแวะชมเล่นสถานที่สำคัญต่างๆของเมลเบิร์น โดยเริ่มจากเดินทาง Shrine of Remembrance เป็นอนุสรณ์สร้างสไตล์คลาสสิกที่อุทิศให้กับทหารชาวออสเตรเลีย ทั้งชายและหญิง ที่รับใช้ชาติโดยต่อสู้ในสงคราม

โดยติดกันนั้นจะมี Royal Botanic Gardens Victoria หรือที่บางคนเรียกว่า Melbourne Gardens ให้เดินกันสูดออกซิเจนบริสุทธิ์ในช่วงเช้ากัน ก่อนจะเข้าไปถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กหลักอย่าง Flinders railway station สถานีรถไฟหลักคล้ายๆกับหัวลำโพงบ้านเรา

อีกอย่างคือเมลเบิร์นขึ้นชื่อเรื่องร้านกาแฟ Local มากๆนะคะ ตั้งแต่ลองมาบอกเลยอร่อยทุกร้าน อันนี้พูดจริงไม่มีอิงนิยายค่ะ แก้วกาแฟยังดูดีมีสไตล์แบบมินิมอล จับมาเป็นพร็อพถ่ายรูปซะเลย

อันนี้คือ Federation Square ฝั่งตรงข้าม Flinders railway station นี่ก็ดูอาร์ตๆเก๋ๆอีกเหมือนกัน ช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีกิจกรรมและโชว์ต่างๆที่ลานด้านด้วยเด้อ ใครสนใจแวะมาชมได้

ต่อด้วย St Paul’s Cathedral เป็นวิหารที่มีความงดงามและโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมในรูปแบบนีโอโกธิค (Neo - Gothic)เราสามารถมองเห็นยอดวิหารได้จากที่ไกลๆในหลายมุมเมืองของเมลเบิร์น

ปิดท้ายกับ State Library of Victoria นอกจากภายในจะเป็นห้องสมุดแล้ว ยังเป็น Gallery มีงานจัดแสดงให้เราเดินชมอีกด้วย แนะนำว่าให้ไปดูสักครั้ง แล้วจะกลับมาร้องขอให้ในเมืองไทยมีห้องสมุดแบบนี้บ้างค่ะ

Day 5: Walking along Yarra River

ก่อนกลับบ้านเราจะมาแวะเดินเล่นริมแม่น้ำยารากันสักหน่อย แม่น้ำยาราจะอยู่ด้านหลังของ Flinders railway station ค่ะรอบๆก็จะมีร้านอาหารริมน้ำเอาไว้นั่งเล่น ดื่มด่ำบรรยากาศกันได้

แพลนคร่าวๆของเราที่จะนำมาแชร์ก็มีประมาณนี้จ้า ส่วนรายละเอียดลงลึกเช่น การเดินทางจากจุด A ไป B ไป C เราค่อยมาทำที่หลังก่อนออกเดินทางล่วงหน้าสัก 1 อาทิตย์ก็ยังทัน

2. ขั้นตอนของการทำวีซ่า

อันนี้ดาวไว้เลยนะคะว่ายื่นวีซ่าให้ได้ก่อน ค่อยจองตั๋วเครื่องบิน! โดยปัจจุบันการทำวีซ่าออสเตรเลียสามารถขอเองได้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ยังคงต้องเข้าไปถ่ายรูปและแสกนลายนิ้วมือ (Biometric Collection) ด้วยตนเองอีกอยู่ดี แต่ก็ถือว่าค่อนข้างสะดวก เอกสารที่ต้องเตรียมมี Checklist มาให้ เราก็แค่นำเอกสารเหล่านั้นถ่ายรูปหรือแสกนเพื่ออัพโหลดเข้าระบบค่ะ เอกสารส่วนใหญ่ก็จะเป็นเอกสารแสดงตัวตนเราไม่มีอะไรยุ่งยากมาก เช่น สำเนาพาสปอร์ต บัตรประชาชน ทะเบียนบ้านใบรับรองการทำงาน ใบรับรองการจ่ายเงินเดือน แพลนทริป (ที่เราทำกันไปเมื่อสักครู่) แล้วก็ตั๋วการเดินทาง อันนี้เป็น Option นะคะ เราอาจจะจองโรงแรมแบบที่สามารถยกเลิกล่วงหน้าได้แนบไปก่อน แล้วก็เข้าไปกรอกแบบฟอร์มในระบบเช่นกัน ระยะเวลาการอนุมัติวีซ่าในเว็บไซต์แจ้งไว้ว่า 16-26 วันทำการ แต่เอาเข้าจริงคือแล้วแต่คนเลยนะคะ แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน อย่าลืม! ย้ำอีกรอบว่าอย่าเพิ่งจองตั๋วเครื่องบิน รอให้ได้วีซ่าก่อนนะ พอวีซ่าอนุมัติแล้วจะมีอีเมลแจ้งเข้ามา ให้เราปริ้นท์ไฟล์วีซ่าจากอีเมลไปติดตัวไว้ เพราะเดี๋ยวนี้เค้าไม่เอาเล่ม Passport เราไปติดวีซ่าเหมือนเมื่อก่อนแล้วจ้า อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับการยื่นขอวีซ่าเพิ่มเติมได้ที่นี่ >> https://www.vfsglobal.com/Australia/Thailand/thai/index.html

3. เมื่อได้วีซ่าแล้ว ก็ถึงเวลาจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก

โดยครั้งนี้เราจองผ่าน Traveloka ไปเลยเพราะทำทีเดียวได้ถึง 3 อย่าง ตั้งแต่จองตั๋วเครื่องบิน จองรงแรมที่พัก และจองรถรับส่งไปสนามบิน (Airport Transfer) ในส่วนของตั๋วเครื่องบินก็ให้เลือกอันที่คิดว่าเวลาการเดินทางเหมาะสมกับแพลนของเรา จะบิน Low cost หรือ Full Service ก็เลือกเอาตามที่ชอบเลยค่ะ ต่อมาเป็นโรงแรม เนื่องจากที่เที่ยวของเราส่วนใหญ่อยู่ในเขต CBD เราก็จะเลือกโรงแรมในย่านนี้ ข้อดีคือ CBD มี Free tram zone นะคะอย่าลืม จะได้เดินทางกันแบบฟรีๆ ไปนู้นมานี่ไม่ปวดหัวคำนวณค่าเดินทางไงล่ะ และสุดท้ายก็คือรถรับส่งสนามบิน อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าเราไม่มีรถส่วนตัว และกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาก แบกเองไม่ไหว ก็เลยจองรถไปซะเลย สะดวกมากๆ ราคารวมทุกอย่าง ไม่ต้องจ่ายเพิ่มทีหลัง แถมนัดเวลากับคนขับได้ล่วงหน้าด้วย ถึงเวลาปุ๊บรถก็มาจอดหน้าบ้านปั๊บ รถใหม่ สะอาดเอี่ยมอ่อง เดินขึ้นไปนั่งสบายๆสวยๆ รู้ตัวอีกทีก็ถึงสนามบินแล้วจ้า ที่สำคัญมากใครมีโค้ดส่วนลด โปรโมชั่นต่างๆอย่าลืมใส่เข้าไปนะคะ เพื่อความคุ้มค่าทางการเงิน

4. เตรียมตัวก่อนการเดินทาง

หลังจากที่วีซ่าพร้อม ตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และรถรับส่งพร้อมหมดแล้ว อย่าลืมเช็คสภาพอากาศและ ข้อควรรู้ต่างๆ ก็เดินทางนะคะ ที่ออสเตรเลียมีทั้งหมด 4 ฤดูด้วยกัน แต่อากาศที่นั่นจะสลับกับบ้านเราค่ะ คือ

- ฤดูร้อน เดือนธันวาคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์

- ฤดูใบไม้ร่วง เดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคม

- ฤดูหนาว เดือนมิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม

- ฤดูใบไม้ผลิ เดือนกันยายน ถึงเดือนพฤศจิกายน

โดยครั้งนี้เราเลือกเดินทางไปเที่ยวฤดูหนาวค่ะ อยากหนีร้อนเมืองไทยซะหน่อย ก็ได้หนาวสมใจจริงๆ อุณหภูมิช่วงที่เราอยู่ที่ประมาณ 5-12 องศา แต่ที่อยากจะฝากอีกเรื่องคือ มันไม่ได้หนาวอย่างเดียวนะคะ มันลมแรงและมีฝนตกด้วย เพราะฉะนั้นซื้อผ้าที่เตรียมไป แนะนำให้เป็นแบบกันลมกันฝนนะ ร่มก็พกไปด้วย จะได้ไม่ป่วยกลับเมืองไทยกันมานะคะ

ยังไม่หมดแค่นี้ใครที่คิดว่าตัวเองอยู่ยาก กินยาก หรือมีโรคประจำตัว ตรวจสอบสิ่งของต้องห้ามที่ทางออสเตรเลียเขาห้ามนำเข้าด้วย มีอยู่หลายอย่างเลยทีเดียว เช่น ยาบางชนิดก็ไม่สามารถเอาเข้าไปได้ อาหารแปรรูป เนื้อสัตว์ หรือพืชบางอย่างก็ห้ามเอาเข้า มีส่วนผสมบ้างก็ไม่ได้ เขาตรวจละเอียดด้วยนะคะตรวจสอบข้อมูลกันดีๆก่อนเดินทางด้วย ไม่อยากให้ต้องไปจ่ายค่าปรับกันที่นั่น ด้วยรักและหวังดีจากผู้เขียนค่ะ

สรุปแล้วเมลเบิร์นสมกับเป็นเมืองน่าอยู่ที่ติดอันดับโลกจริงๆค่ะ ทั้งสะอาด เดินทางสะดวกสบาย ค่าครองชีพไม่ได้แพงมากมายอะไรขนาดนั้น จะมีก็อาหารตามร้านที่ราคาค่อนข้างสูง ราคาประมาณเหมือนที่กินในห้างบ้านเราค่ะ จานนึงคิดเป็นเงินไทยประมาณ 300-400 บาท แต่ปริมาณก็ได้เยอะ จานใหญ่เชียวสามารถสั่งมาแชร์กินกันได้ ใครทำอาหารเองเป็น ไปซื้อของที่ตลาดกลับมาทำเอง การเดินทางเน้นใช้ free tram แค่นี้ก็สามารถคุมงบประมาณในราคาที่เหมือนไปเที่ยวญี่ปุ่นได้ ไม่บานปลายแน่นอนค่ะ

จองโรงแรม
จองตั๋วเครื่องบิน
Things to Do
รับทราบข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
สมัครรับจดหมายข่าวของเรา เพื่อคำแนะนำการท่องเที่ยวและรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้น พร้อมด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น
สมัคร