อยากไปเที่ยวต่างประเทศในตอนนี้ ไม่ต้องกังวลว่าจะบินไปไม่ได้ ยิ่งถ้าหากเลือกประเทศที่ฟรีวีซ่าก็ยิ่งบินไปง่าย เช่นเดียวกับเกาะเชจู ที่ตั้งอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ เพียงแค่กรอก K-ETA ก็สามารถเดินทางไปยังที่เที่ยวเชจูได้เลย ดังนั้น หากใครมีแพลนว่าจะไปเที่ยวเกาหลี เราขอแนะนำให้ลองเลือกไปเกาะเชจูกันดู เพราะทั้งวิวสวย ธรรมชาติดี และบรรยากาศที่ล้อมรอบด้วยทะเล ภูเขา และทุ่งดอกไม้ ให้คุณได้พักผ่อน ใช้วันหยุดไปกับการเดินเที่ยวจุดต่าง ๆ บนเกาะเชจู
เราก็ได้ลิสต์ที่เที่ยวเกาะเชจูมาให้แล้ว สำหรับใครที่กำลังหาว่าเกาะเชจูมีอะไรบ้าง? รับรองว่าคุณต้องฟินกับบรรยากาศแน่นอน หากพร้อมแล้ว กดจองตั๋วเครื่องบินไปเชจูผ่าน Traveloka แล้วเตรียมตัวเก็บกระเป๋าให้พร้อม ออกเดินทางไปยังที่เที่ยวเชจูกันได้เลย!
เราขอชวนมาเดินป่าขึ้นภูเขาไฟที่ดับแล้วที่ “Hallasan National Park” หรืออุทยานแห่งชาติภูเขาฮัลลา ถือว่าเป็นที่เที่ยวเชจูอันดับท็อปของเกาะเลยทีเดียว เพราะที่นี่เป็นอุทยานที่ตั้งอยู่ใจกลางของเกาะเชจู และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เหมาะสำหรับสายเดินป่า ปีนเขา เพราะว่ามีเส้นทางการเดินสำหรับศึกษาธรรมชาติมากถึง 7 สายด้วยกัน นับว่าเป็นอุทยานแห่งชาติที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของธรรมชาติ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ และจะได้ชมวิวสวยของภูเขาเป็นฉากหลัง ใครที่ไม่ได้เชี่ยวชาญทางด้านเดินเขาก็มาเที่ยวกันได้ เพราะสามารถเดินแบบไปเช้าเย็นกลับ ไม่ต้องค้างคืน
มาสัมผัสกับธรรมชาติสวย ๆ บนเกาะเชจูที่ “Seongsan Ilchulbong” ที่เที่ยวเชจูแห่งนี้นับว่าเป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยมากที่สุดของเกาะเลยทีเดียว หลายคนจึงมักจะเดินทางมาที่นี่ในตอนเช้า เพื่อเฝ้ารอคอยชมพระอาทิตย์ขึ้น คุณจะเห็นวิวที่งดงามของท้องทะเลที่มีแสงอาทิตย์สีทองสวยงามระยิบระยับ นอกจากนี้ คุณยังสามารถมองเห็นภูเขาไฟที่ดับลงแล้วอีกด้วย ที่นี่มีลักษณะเป็นหน้าผาเพราะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ และรายล้อมไปด้วยท้องทะเล คุณสามารถชมวิวได้กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจากที่นี่ได้เลย
ที่เกาะเชจูไม่ได้มีแค่ภูเขาไฟและท้องทะเลแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีถ้ำอันสวยงามที่เหมาะแก่การไปเยี่ยมชมอีกด้วย ซึ่งถ้ำนี้มีชื่อว่า “Manjanggul Cave” เป็นถ้ำลาวาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีลักษณะเด่นแตกต่างจากถ้ำอื่นทั่วไป ด้านในจะมีทั้งหินงอก,หินย้อย, หินลาวา และแท่งหินต่าง ๆ รวมถึงมีอุณหภูมิประมาณ 11-21 องศาเซลเซียส ยิ่งถ้าเป็นฤดูหนาวอากาศจะเย็นลงอีกมาก ถ้ำแห่งนี้ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวและนักธรณีวิทยาที่มาศึกษาภายในถ้ำนี้ด้วย เป็นอีกหนึ่งในที่เที่ยวบนเกาะเชจูที่ควรค่าแก่การมาเช็กอิน
นอกเหนือจากทะเล ภูเขาไฟ และถ้ำแล้ว ยังมีน้ำตก “Cheonjeyeon Waterfalls” ที่น่าสนใจอีกด้วย ซึ่งน้ำตกแห่งนี้ถือว่าเป็นหนึ่งในที่เที่ยวเชจูยอดนิยม เพราะขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามและความยิ่งใหญ่อลังการ ที่นี่เป็นน้ำตกขนาด 3 ชั้น มีความสูงประมาณ 22 เมตรด้วยกัน บริเวณน้ำตกมีการประดับประดาด้วยนางไม้ทั้งเจ็ด เพราะมีตำนานเล่าขานว่าตอนกลางคืนนางไม้ทั้งเจ็ดนี้จะลงมาเล่นน้ำที่น้ำตกแห่งนี้นั่นเอง และยังมีความเชื่อที่ว่า ถ้าได้มายืนอยู่ที่น้ำตกในวันที่ 15 เดือน 7 จะช่วยทำการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายออกไปได้ นับว่าเป็นที่เที่ยวเกาะเชจูที่ทั้งสวยงาม และมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจทีเดียว
ปล่อยใจไปกับการพักผ่อนริมทะเลที่ “Hamdeok Seoubong Beach” กันดีกว่า ที่เที่ยวเชจูแห่งนี้เป็นหนึ่งในที่เที่ยวยอดฮิตที่มีความสวยงามอีกแห่งหนึ่ง หากใครต้องการไปเที่ยวชายหาดแห่งนี้จะต้องเดินทางไปทางทิศตะวันออกของเกาะเชจู ด้วยความที่หาดบริเวณนี้เป็นชายหาดน้ำตื้น จึงทำให้สามารถลงเล่นน้ำได้ และเหมาะกับการทำกิจกรรมริมชายหาด ไม่ว่าจะมานอนอาบแดด นั่งอ่านหนังสือ หรือว่าชิลล์ยามเย็นก็ได้ เห็นวิวสวยในรูปแบบนี้ ของจริงสวยกว่านี้อีกมากเลยทีเดียว อยากให้คนที่มาเยือนเชจูได้ไปเที่ยวกัน
น้ำตกส่วนใหญ่จะตกจากหน้าผาลงไปยังแม่น้ำหรือว่าผืนน้ำเบื้องล่าง แต่ว่าที่เที่ยวเชจูแห่งนี้ “Jeongbang Waterfall” เป็นน้ำตกแห่งเดียวในเอเชียที่ตกลงสู่ทะเล ซึ่งมีความสูงมากถึง 23 เมตร หากได้ชมจะเป็นภาพที่งดงามอย่างยิ่ง ใครที่มาเที่ยวเชจูแล้วต้องมาเยือนน้ำตกแห่งนี้เลย รับรองว่าจะไม่ผิดหวังในเรื่องของทัศนียภาพที่น่าประทับใจ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งน้ำตกสวย ๆ ติดอันดับต้นของเกาหลี และเป็นน้ำตกชื่อดังของเกาะเชจู สำหรับน้ำตกแห่งนี้ต้องเสียค่าเข้า โดยเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 09.00 - 18.00 น.
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://english.visitkorea.or.kr/
มาชมความมหัศจรรย์ของ “Daepo Jusangjeolli Cliff” กันดีกว่า ซึ่งที่เที่ยวเชจูนี้เป็นที่แปลกตาของเกาะเลยทีเดียว เพราะมีลักษณะเป็นหินผาซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟฮัลลา ถูกกัดเซาะจากน้ำทะเล และลมจากธรรมชาติ ทำให้โขดหินนี้มีความเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากหน้าผาอื่น เหมาะสำหรับคนที่อยากชมวิวสวย ๆ ของหน้าผาและทะเล ถ้าแพลนเที่ยวเชจูของคุณยังว่างอยู่ แล้วมองหาสถานที่บนเกาะเชจูที่เน้นชมวิวและถ่ายรูปเป็นหลัก การเดินทางมาที่โขดหินจูซังจอลรีนี้ถือว่าคุ้มค่าเลยทีเดียว
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.waug.com/
มาถึงอีกหนึ่งสวนธรรมชาติบนเกาะเชจู “Hallim Park” เป็นหนึ่งในที่เที่ยวทางธรรมชาติที่เราแนะนำเป็นอย่างมาก เพราะทั้งสวยและบรรยากาศดี ด้วยความที่อากาศดีและเหมาะกับการเที่ยวทุกฤดู นักท่องเที่ยวจึงสามารถแวะมาเยือนสวนฮัลลิมกันได้ตลอด เมื่อเดินเข้าไปด้านในคุณจะเห็นธรรมชาติที่รายล้อม เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และสัตว์นานาชนิด นอกจากนี้ ภายในสวนฮัลลิมยังมีถ้ำให้ได้สำรวจอีกด้วย ใครอยากเน้นที่เที่ยวเชจูที่มีบรรยากาศดี มาที่นี่จะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น ที่สวนฮัลลิมยังมีการจัดงานเทศกาลที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละเดือน แนะนำให้เช็กปฎิทินการจัดงานก่อนมาเยือนด้วยนะ
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://english.visitkorea.or.kr/
“Seopjikoji” เป็นอ่าวที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะเชจู ตอนแรกนั้นเป็นอ่าวธรรมดา แต่ได้มีการสร้างประภาคารหรือว่าสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติม เพราะใช้ในการถ่ายทำภาพยนตร์ จึงทำให้มีจุดเด่นเอาไว้ถ่ายรูป อีกทั้งยังสามารถเดินชมวิวรอบ ๆ ได้อีกด้วย เนินเขาที่ตั้งอยู่บริเวณริมทะเล โดยรอบจะเป็นทุ่งหญ้าที่มีความเขียวขจี ตัดกับสีฟ้าครามของท้องฟ้าอย่างดี ไฮไลต์ของที่เที่ยวเชจูนี้คือถ้าหากคุณมาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก็จะเห็นทุ่งดอกคาโนล่าสีเหลือง สวยงามเป็นอย่างมาก ถ้าคุณมีโอกาสได้มาเที่ยวที่เกาะเชจู ห้ามพลาดเลย!
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://blog.mykoreatrip.com/
หนึ่งความพิเศษของการมาเที่ยวเกาะเชจู ไม่ใช่แค่ธรรมชาติที่สวยงามแต่เพียงเท่านั้น แต่เกาะเชจูยังเป็นแหล่งปลูกชาชั้นยอด เป็นไฮไลต์ที่คุณไม่ควรพลาด “O’Sulloc Tea Museum” เมื่อคุณมาเยือนจะสามารถมองเห็นได้ถึงวิวของไร่ชาแบบสุดลูกหูลูกตา โดยแบรนด์โอซุลล็อคถือว่าเป็นแบรนด์ดังของเกาหลี มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับชาให้เลือกอย่างมากมาย มีร้านค้า และร้านขนมที่ทำจากชา เหมาะกับการซื้อกลับไปเป็นของฝาก รวมถึงไม่ใช่แค่ความงดงามของไร่ชาแต่เพียงเท่านั้น ทว่าพิพิธภัณฑ์นี้ยังทำให้คุณได้ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับชาเขียว มาที่เที่ยวเชจูนี้แล้วอย่าลืมซื้อของติดไม้ติดมือกลับไปด้วยนะ
ขอบคุณรูปภาพจาก: https://english.visitkorea.or.kr/
“Hyeopjae Beach” เป็นหาดหนึ่งที่มีความสวยงามอย่างมาก มีความยาวประมาณ 9 กิโลเมตร ถือว่าเป็นที่เที่ยวเชจูที่ได้รับความนิยมเพราะมีวิวชายหาดสวยงาม ด้านหน้าจะสามารถมองเห็นเกาะบียางโด (Biyangdo Island) ที่ตั้งอยู่กลางทะเลเลย ที่นี่ได้รับการขนานนามว่ามีน้ำทะเลที่ใสและชายหาดที่ขาวสะอาดที่สุดของเกาะเชจู ถ้าคุณต้องการถ่ายรูปกับวิวทะเลเบื้องหลังสวย ๆ แนะนำว่าปักหมุดที่นี่ไว้รอได้เลย ทั้งสวยโดนใจ บรรยากาศดี และไม่ว่าจะหมุนกล้องไปทางไหนก็สวยทุกมุมแน่นอน
สถานที่ที่เปรียบเสมือนจุดแลนด์มาร์คของเกาะเชจู “Jeju Teddy Bear Museum” เป็นพิพิธภัณฑ์ตุ๊กตาหมีที่เปิดให้บริการตั้งแต่ปีค.ศ. 2001 ด้านในแบ่งออกเป็นโซนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโซนประวัติศาสตร์เกาหลี, ประวัติศาสตร์โลก, ศิลปะ และอีกมากมาย นอกจากนี้ยังมีโซนจัดแสดงโชว์จากตุ๊กตาหมีน่ารัก ๆ ที่ขยับไปตามสถานการณ์ต่าง ๆ แถมที่เที่ยวเชจูแห่งนี้ยังเปิดให้คุณได้ซื้อของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับไปฝากคนที่คุณรักอีกด้วย
พิกัด :
ที่เที่ยวเชจูแห่งนี้ต่างกับสวนสนุกที่อื่น ๆ “Ecoland” เป็นสวนสนุกที่จะพาคุณไปดื่มด่ำกับธรรมชาติอย่างแท้จริง ด้วยเนื้อที่กว่า 200 ไร่ ทำให้คุณสามารถชมบรรยากาศโดยรอบได้แบบจุใจ ภายในสวนแห่งนี้จะเชื่อมต่อกันด้วยรถราง ทำให้คุณไม่ต้องเดินให้เมื่อยขา เก็บแรงไปถ่ายรูปทุกดอกไม้สวย ๆ รวมถึงวิวรอบข้างกันดีกว่า มาเชจูแล้วต้องปักหมุดมาที่นี่เลย!
หมู่บ้านวัฒนธรรมซงอึบ หรือ “Seongeup Folk Village” เป็นหมู่บ้านโบราณอายุกว่า 500 ปี ตัวอาคารต่าง ๆ สร้างด้วยหินลาวาจากภูเขาไฟและหลังคาที่มุงจากหญ้าแฝก มีลักษณะเป็นอาคารบ้านทรงต่ำ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของที่อยู่อาศัยของชาวเชจูในสมัยก่อน หากใครมาเที่ยวเชจูคนเดียวแล้วกลัวไม่มีอะไรทำ เราสามารถพักค้างคืนที่หมู่บ้านเพื่อศึกษาวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้อีกด้วย นับเป็นที่เที่ยวเชจูสุดคุ้มค่าหากได้ใช้เวลาที่นี่
สายเทรคกิ้งห้ามพลาดกับ “Jeju Olle Trail” เส้นทางเดินชมธรรมชาติรอบตัวเกาะเชจู โดยเส้นทางนี้มีทั้งหมด 21 เส้น โดยแต่ละเส้นมีความสำคัญแตกต่างกันออกไป เราสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ที่แตกต่างกันออกไปตามแต่ละเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นวิวภูเขา, ดอกไม้, ทุ่งหญ้า หรือทะเลอันกว้างใหญ่ โดยมีเส้นทางที่ชาวบ้านบนเกาะใช้ทั่วไปด้วยเช่นกัน นับเป็นที่เที่ยวเชจูที่ให้ความโลคอลร่วมด้วย
หากเที่ยวทะเล ภูเขา และน้ำตกจนพอใจแล้ว สามารถแวะเข้ามาชมความสวยงามของ “Yakcheonsa Temple” วัดพุทธที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางสมาธิที่สูง 5 เมตร ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปซึ่งเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าในช่วงอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งหมด 3 องค์ประดิษฐานอีกด้วยนั่นเอง ถือเป็นที่เที่ยวเชจูที่ได้ทั้งมูเตลูและมีบรรยากาศดี เดินเล่นได้ชิล ๆ
ที่เที่ยวเชจู “Halla Arboretum” เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ที่สุดบนเกาะเชจู ที่นี่มีการรวบรวมพืชเขตร้อนมากกว่า 900 ชนิด และยังมีพันธุ์ไม้หายากจากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลก ทำให้ที่นี่มีพืชพรรณหลากหลาย สามารถเข้าชมได้ทุก ๆ ฤดูไม่มีเบื่อ แถมยังมีสัตว์น้อยใหญ่อยู่ในบริเวณสวนพฤกษศาสตร์ฮัลลานี้อีกด้วย ถือว่าได้ชมธรรมชาติผ่านสถานที่เที่ยวอย่างแท้จริง
เปิดประเดิมด้วยอาหารขึ้นชื่อของเกาะเจชู นั่นก็คือหมูดำบาร์บีคิว! โดยเกาะเจชูเขาจะนิยมเลี้ยงหมูดำและกินหมูดำกัน รสชาติของหมูดำจะให้ความกรุบกรอบ เนื้อติดกระดูกมากกว่าหมูธรรมดาทั่วไปที่เราทานกัน ที่สำคัญเลยคือมีความหอมมากกว่า ใครมาที่เที่ยวเชจูยังไงก็ห้ามพลาดเนื้อหมูดำย่าง และร้านที่ขายหมูดำย่างนั้นก็มีทั่วเกาะเลย แต่เราขอแนะนำร้าน “Tangerines Black Pork Barbeque” นี้เพราะวิวดีมาก! เป็นหนึ่งร้านที่ห้ามพลาดเลยทีเดียว
อีกหนึ่งพิกัดที่หากมาที่เที่ยวเชจูแล้วไม่ควรพลาดนั่นก็คือ “Bada Janchi Restaurant” ร้านอาหารเกาหลีที่เป็นร้านต้องแวะของนักท่องเที่ยวหลาย ๆ คน ไม่ใช่แค่เพราะอาหารอร่อยถูกปาก แต่ยังอยู่ใกล้สนามบินเพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้คือหอยเป๋าฮื้อเกาหลีที่สดมาก ๆ รวมถึงปลาชนิดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแมกเคอเรล, ปลากัลชิ, ปลาอ๊กดม และปลาขึ้นชื่อของเกาะเชจู ที่จับกันสด ๆ ตรงนั้นเลยล่ะ
ใครชอบพุดดิ้งหรือของหวานห้ามพลาดร้านนี้เลย “Umu” เป็นร้านขนมหวานบนเกาะเชจู เน้นเสิร์ฟพุดดิ้งเนื้อนุ่มนิ่ม โดยร้านทำพุดดิ้งเองแบบสดใหม่ทุกวัน และนอกจากจะมีพุดดิ้งสุดอร่อยแล้ว จุดเด่นของร้านนี้ยังมีตัวตุ๊กตา Umu ที่เป็นเหมือนโลโก้ของร้านเป็น Accessories ให้ผู้คนที่มาต่างเลือกซื้อกลับบ้านอีกด้วย ต้องลองไปที่เที่ยวเชจูนี้กันให้ได้เลยนะ
ก่อนการเดินทางไปยังที่เที่ยวเชจู เราต้องทำการลงทะเบียน K-ETA (Korea Electronic Travel Authorization) ก่อนเดินทางเข้าประเทศเกาหลีใต้ โดยสิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อใช้ในการสมัคร K-ETA มีดังต่อไปนี้
วิธีการสมัคร K-ETA
K-ETA อาจใช้เวลาพิจารณาผลเกิน 72 ชั่วโมง โดยจะขึ้นอยู่กับจำนวนของผู้ลงทะเบียนและสถานการณ์ของผู้ลงทะเบียน เมื่อได้แล้วจะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 2 ปีนับจากวันที่สมัคร สามารถเดินทางเข้าเกาหลีใต้ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง โดยพักได้ครั้งละไม่เกิน 90 วัน สามารถสมัครให้ตัวเองและคนอื่น ๆ พร้อมกันได้ในครั้งเดียว
หากเราต้องการเดินทางไปยังที่เที่ยวเชจูแบบสะดวกสบายมากขึ้น เราควรทำความรู้จักกับข้อมูลเบื้องต้นของที่นี่กันก่อน ดังนั้น Traveloka จึงได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวในเชจู และข้อควรรู้เบื้องต้นมาไว้แล้ว ดังนี้
เกาะเชจู เป็นเกาที่ใหญ่เป็นอันดับ 1 ของประเทศเกาหลีใต้ มีพื้นที่อยู่ประมาณ 1,833.2 ตารางกิโลเมตร โดยมีประชากรอยู่ที่ 670,000 คน จึงนักเป็นเกาะที่มีประชากรเยอะที่สุดในประเทศเช่นกัน และเกาะเชจูนับเป็นจังหวัดปกครองตัวเองพิเศษ ไม่ขึ้นอยู่กับจังหวัดอื่น ๆ มีพื้นที่ล้อมรอบด้วยทะเลของคาบสมุทรเกาหลี เกิดจากการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเลประมาณ 2 ล้านปีที่แล้วนั่นเอง
เราสามารถเดินทางไปยังที่เที่ยวเชจูโดยการต่อเครื่องได้ ซึ่งการเดินทางไปเชจูที่นิยมที่สุดคือบินไปยังโซลและต่อเครื่องไปเชจู โดยสายการบินที่ให้บริการ อาทิ Thai Airways, Asiana Airlines, T’way Air และ Korean Air เป็นต้น ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง 25 นาที หรือเลือกเดินทางโดยเรือไปยังเกาะเชจูได้เช่นกัน
การเดินทางไปยังที่เที่ยวเชจูต่าง ๆ นั้นมีหลากหลายช่องทางด้วยกัน โดยเราสามารถเดินทางด้วยการเดินเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ หรือจะใช้รถประจำทางเพื่อการเดินทางก็ง่ายดายเช่นกัน รวมถึงยังมีเรือส่วนตัวเพื่อใช้ในการออกไปท่องเที่ยวบริเวณทะเลก็ตื่นตาไปอีกแบบ
บริเวณที่เที่ยวเชจูจะใช้ ‘ภาษาเกาหลี’ ในการสื่อสารเป็นหลัก ซึ่งภาษาเกาหลีของเชจูจะมีสำเนียงแบบพื้นถิ่นของคนในภูมิภาคร่วมด้วย แต่นักท่องเที่ยวสามารถเน้นการอ่านป้ายแนะนำที่มีระบุเป็นภาษาอังกฤษก็ย่อมได้
ภายในเกาะเชจูจะใช้สกุลเงินวอน (KRW) โดยอัตราแลกเปลี่ยนเงินวอนกับเงินบาทจะอยู่ที่ 1 วอนเกาหลีใต้ เท่ากับ 0.027 บาท ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้อัตราการแลกขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่แลกเงินร่วมด้วย แลกเงินให้เพียงพอก่อนไปที่เที่ยวเชจูกัน!
ที่เที่ยวเชจูตั้งอยู่ในประเทศเกาหลี ทำให้มีเวลามาตรฐานคือ GMT+9 เขตเวลา Asia/Seoul ชื่อโซนเวลา Korea Time (KT) GMT+9 เวลาของเชจูจึงเร็วกว่าเวลาในประเทศไทย 2 ชั่วโมงนั่นเอง
แม้ว่าเชจูจะเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ในประเทศเกาหลีใต้ แต่กลับมีอุณหภูมิและฤดูที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยมีทั้งหมด 4 ฤดูด้วยกัน ได้แก่ฤดูร้อน (เดือนมิถุนายน-เดือนกันยายน), ฤดูใบไม้ร่วง (เดือนกันยายน-เดือนพฤศจิกายน), ฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-เดือนมีนาคม) และฤดูใบไม้ผลิ (เดือนมีนาคม-เดือนพฤษภาคม) นั่นเอง