ปลายปีแบบนี้ หมีหมู เชื่อว่าเพื่อนๆหลายๆคน คงอยากสลัดอุณหภูมิแสนสูงในเมืองกรุง เพื่อไปโอบกอดความเย็นในที่ต่างๆ ซึ่งแน่นอนครับ หมีหมูก็เช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุที่เราสองคนรวมหัวกันจองตั๋วเครื่องบิน กรุงเทพ-เชียงใหม่ กันตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว
ขอเล่าถึงความปรารถนาส่วนตัว ก่อนเข้าเรื่อง จริงๆแล้วทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะหมีเอง คือตั้งแต่หมีเริ่มถ่ายภาพมา ก็มีความฝันที่อยากจะเก็บภาพในสถานที่ต่างๆที่ตนไม่เคยไป ซึ่ง 1 ในภาพสูงสุดที่อยากจะถ่ายให้ได้สักครั้งในชีวิตก็คือ “ทางช้างเผือก” และ “ดาวเต็มฟ้า” เป็นสาเหตุให้หมีเริ่มทำการบ้านว่า เราควรจะไปถ่ายที่ไหน ยังไง และเมื่อไหร่
ซึ่งก็ได้พบว่า เราควรจะไปในที่ที่สูงๆ มืดๆ ไม่มีแสงไฟรบกวนเพื่อให้เห็นดาวเยอะๆ พร้อมทั้งช่วงเวลาของทางช้างเผือกแต่ละเดือนก็ขึ้นไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดสมการดังต่อไปนี้
ที่สูงๆมืดๆ = ดอย (ภูเขาสูงๆ)
ช่วงเวลาของช้าง = ปลายปีช้างมาเร็ว ไม่ต้องแหกขี้ตาตื่นมาถ่าย
อยากสัมผัสอากาศเย็นในขณะเดินทาง = ปลายปี และภาคเหนือ
ผลลัพธ์คือ “ไปถ่ายดาว ที่ยอดดอยทางภาคเหนือช่วงปลายปี” จึงเกิดมาเป็นทริปนี้นั่นเอง
อย่ากระนั้นเลย เมื่อได้ผลแล้ว จองสิครับ รออะไร? ก็เลยมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ฝั่งหญิง คือการหาราคาตั๋วที่ถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งบอกเลยว่า เจ้าหมู นี่ชื่นชอบการหาช่วงเวลาที่ถูกของตั๋วมากๆ และแอพที่นางถนัดที่สุดก็คือ Traveloka
ทำให้เราได้ตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่แบบ ไป-กลับ ในช่วงเวลา และเวลาเดินทางที่เหมาะสมมาในราคาคนละไม่ถึง 2,000 บาท
จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ กับ Traveloka ที่นี่ได้เลย!
อ่ะ!!! เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า วันนี้จะขอพูดถึงสถานที่ที่เราไปลุยกันมาในแต่ละที่ จะเป็นการสรุปแบบคร่าวๆ นะครับ
ม่อนจอง
**แต่ตอนที่หมีหมูไป บอกเลยครับโหดมาก เพราะฝนตก ทำให้ดินที่มีกลายเป็นโคลน และเมื่อถึงเวลาที่ต้องขึ้นทางลาดชัน หากใครไม่ได้เตรียมรองเท้าสำหรับเดินป่าเดินเขามา มีลื่นล้มกันไปเป็นทางแน่นอน และยังมีหลายส่วนที่อันตรายเป็นเหว หากไม่ระวังอาจมีลื่นตกลงไปครับ (พวกเราลื่นกันไป 2-3 ครั้งเลยทีเดียว ดีที่ช่วยกันไว้ทัน)
จากจุดกางเต็นท์ เราต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 45-90 นาที (แล้วแต่ฝีเท้าคน) เพื่อไปที่จุดสูงสุดของ ดอยหัวสิงห์ ซึ่งเป็นจุดชมวิวสูงสุดของม่อนจอง
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------
นี่ไงรถที่พวกเราเช่ากันในทริปนี้
นี่เสบียงของเราครับ
(แวะซื้อกันที่ตลาดด้านล่าง)
ค่าใช้จ่ายสำหรับขึ้นดอย
รถ 4WD สำหรับข้นดอยที่เราจ้างครับ
ถึงขั้นต้องใส่โซ่ที่ล้อกันเลยทีเดียว
แต่สุดท้ายเราก็ไปไม่ถึงจุดจอดรถครับ เพราะรถไม่สามารถวิ่งต่อไปได้แล้ว
เราเลยต้องลงเดินเท้ากันต่อ
ทำให้เวลาในการเดินจากเดิม 3-4 ชั่วโมง เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดไปถึง 5-6 ชั่วโมง
นี่คือพี่ “จัดคือ” เป็นลูกหาบของเราในทริปนี้
ระหว่างทางเดิน เราสามารถหยุดพักได้นะครับ แต่ลูกหาบจะคอยจำกัดเวลาให้เรา เพราะถ้าเลทเกินไปแล้วมืดจะอันตราย
นับถือใจแฟนตัวเองจริงๆ เป็นผู้หญิงที่อดทนมาก ตลอดการเดินไม่มีบ่นเลย
‘ดอยหมาหอบ’ เป็นทางลาดชัน 60 องศาตลอดช่วง อยากจะบอกว่าไม่ใช่แค่หมาหรอก
พวกเราก็หอบไม่เหลืออะไรเช่นกัน
จากความเหนื่อยล้าทั้งหมดที่สั่งสมมา แต่พอได้เห็นวิวข้างบนแล้ว
เข้าใจคำว่า “หายเหนื่อย” จริงๆนะครับ
นี่ที่นอนเราคืนนี้ครับ เดี๋ยวพี่จัดคือ จะช่วยเรากางเต็นท์กัน
พอขึ้นมาเหนื่อยๆ ทำให้ได้รู้เลยว่า การกินเพื่ออยู่นี่มันรู้สึกดีกว่าการกินอาหารหรูๆแพงๆอีก
ข้อควรระวังเมื่อเดินป่าเวลาฝนตก ‘ทาก’ มันจะมาดูดเลือดเรา
ให้รู้สึกเจ็บนิดๆครับ วิธีการคือดึงมันออก แล้วม้วนมันเป็นก้อนกลมๆ
แล้วโยนทิ้งไป ห้ามเช็ดเลือดนะครบ ต่อให้ไหลน่ากลัวแค่ไหน
ก็ปล่อยให้ไหลไป จนกลายเป็นลิ่มเพื่อมาพอกแผลไว้
ไม่งั้นเลือดเราจะไหลไม่หยุด
อันนี้คือที่สุดของความภาคภูมิใจแล้วครับ
แม้ช้างจะไม่ชัดมาก และดาวจะไม่เยอะเท่าที่ควรเพราะเมฆฝนเยอะ แต่หมีก็ดีใจสุดๆไปเลย
บรรยากาศยามเช้า พร้อมทะเลหมอก
สำหรับม่อนจอง ต้อขอบคุณเพื่อนร่วมทางอีกสองท่านนี้มากครับ ที่ทำให้ทริปนี้มีรสชาติสุดๆ
(เป็นรุ่นพี่และรุ่นน้องของหมีในมหาลัยเอง)
แม่กำปอง
นอนที่แม่กำปอง ได้ตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์พร้อมจิบกาแฟ
เดินเล่นในหมู่บ้านน่ารักๆแห่งนี้ ในขณะที่คนจากตัวเมืองยังเดินทางมาไม่ถึง
ได้ถ่ายรูปที่บ้านฮิมห้วย ลุงปุ๊ด & ป้าเป็ง แบบไม่ต้องแบ่งกับใคร
กิน ไข่ป่าม ของขึ้นชื่อเมืองเหนือในราคาเพียง 20 บาท (ซาวบาท) เท่านั้น
เติมพลังแห่งวันด้วยกาแฟร้าน “ชมนกชมไม้”
ชมศาลากลางน้ำที่ วัดแม่กำปอง
กินอาหารชิคๆ ริมลำธาร
ไปน้ำแช่เท้ากับสายน้ำเย็นๆที่ “ผาน้ำลอด”
ม่อนแจ่ม
ก่อนขึ้น ม่อนแจ่ม เราก็ได้แวะไปที่น้ำตกๆหนึ่งที่น่าสนใจ
“น้ำตกแม่สา”
โดยน้ำตกนี้จะมีทั้งหมด 10 ชั้นด้วยกัน แต่ที่จอดรถจุดสุดท้ายจะอยู่ที่ชั้น 4
ทำให้เราประหยัดเวลาเดิน เหลือเดินแค่ 6 ชั้น
ก็จะถึงชั้นสุดท้ายครับ แต่ว่าเราสองคนไปถึงแค่ชั้น 7 เองครับ
เพราะเวลาเรามีจำกัด อยากขึ้นไปม่อนแจ่มก่อนพระอาทิตย์จะลับของฟ้าไป
บรรยากาศของทุ่งทานตะวัน ก็จะเป็นประมาณนี้ครับ
ซึ่งมีค่าบำรุงรักษาสวน สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากเข้าไปถ่ายรูปด้วย
ราคาอยู่ที่คนละ 10 บาทเท่านั้น
บรรยากาศช่วงก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้ากันไป
กินเค้กโครงการหลวงยามเช้า ณ ม่อนแจ่ม
หมีบอกเลย เค้กอร่อยมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ที่เราสั่งกันมามี Passion Fruit Cheesecake และ Fruits Tart ราคาชิ้นละ 90 บาท
เช้าๆจะมีชาวเขาตัวน้อยๆ มานั่งรอให้พี่ๆนักท่องเที่ยวถ่ายรูปด้วย แลกกับให้ค่าขนมน้องๆเล็กๆน้อยๆ
กิจกรรมท้าทายสุดท้ายก่อนลาจาก ม่อนแจ่ม ของเราสองคน “ม้งล้อเลื่อนไม้”
สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งคนเดียว หรือนั่งเป็นคู่ครับ
สำหรับค่าบริการ ก็ตามรูปเลย จริงๆแล้ว 400 เมตรดูเหมือนสั้นนะ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เลยครับ
แถม!!! เก๊าไม้ล้านนา
บรรยากาศในคาเฟ่ดีมากเลยครับ ติดแต่ว่าถ้าไปช่วงสุดสัปดาห์คนจะเยอะมาก
ที่เห็นนี่คือยืนอยู่บนชั้น 2 ของร้าน เพราะโต๊ะข้างล่างเต็มมากเลย
ด้านขวานี่เป็นเหมือนโกดัง เก็บสินค้าครับ
ส่วนไฮไลท์ของที่ เก๊าไม้ล้านนา คงหนีไม่พ้นสิ่งนี้ครับ
ห้องพักที่ถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย สวยงามจริงๆ
การเดินทางในทริป เชียงใหม่ ของเราสองคนก็ปิดฉากลงด้วยเรื่องราวประมาณนี้ครับ ถ้าถามว่าได้อะไรจากการเดินทางในครั้งนี้ นอกจากรูปสวยๆ (ที่อาจจะยังถ่ายได้ไม่สวยมาก) ก็มีข้อคิดนิดหน่อยที่อยากจะฝากไว้
ยังไงเราสองคนก็ต้องขอบคุณที่ติดตามรีวิวในครั้งนี้นะครับ หากครั้งต่อๆไปมีโอกาส เราจะมารีวิวทริปต่อๆไปให้ได้รับชมกันนะ หากชื่นชอบในการเดินทางของเราสองคน ฝากติดตามที่ “The Planners เที่ยว กับ แฟน”