ฮ่องกงในมุมที่แตกต่าง
“ฮ่องกง” หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเหล่าบรรดานักช้อปกระเป๋าหนัก เป็นที่รู้จักกันอย่างดีว่าที่แห่งนี้มีชื่อเสียงว่าเป็นเมืองปลอดภาษี หลายคนถึงกับตั้งนิยามให้ฮ่องกงเป็นดั่งเมืองสวรรค์ของการช้อปปิ้ง เพราะทุกๆพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์ดังจากต่างประเทศที่ราคาย่อมเยากว่าซื้อในบ้านเราเป็นไหนๆ แต่ใครจะรู้ว่าอีกด้านหนึ่งของฮ่องกงนั้น ยังมีธรรมชาติอันน่าแปลกตาและชวนให้หลงใหลอยู่อีกมากมาย แค่นั่งรถบัสออกจากตัวเมืองไปไม่กี่ชั่วโมง หุบเขา ทะเล หาดทราย ต้นไม้ ก็จะเข้ามาโอบล้อมเราอย่างไม่ทันตั้งตัว
คนหนึ่งคน-กล้องสองตัวพร้อมกับขาตั้งกล้อง ก็คงเพียงพอแล้วในการออกไปเก็บประสบการณ์ดี ๆ ในเมืองแห่งนี้เพียงลำพัง แม้จะมีความเหงาเป็นขั้วลบ แต่ก็ยังมีการผจญภัยอันเด็ดเดี่ยวข้างหน้าเป็นขั้วบวก แม้ต้องยอมปล่อยให้น้ำลายบูดไปบ้างเพราะไม่รู้จะหันหน้าไปพูดคุยหรือปรึกษาหารือกับใคร ได้มีโอกาสเบียดเสียดเข้าไปอัดเป็นปลากระป๋องบนรถไฟฟ้าในชั่วโมงเร่งด่วน ได้มีเวลาปลดปล่อยใจตัวเองให้เบาหวิวอยู่กับธรรมชาติกลางป่า ท้ายที่สุดมันกลับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เราได้กลับมาทำความรู้จักกับตัวเองมากขึ้นในสถานที่อันน่าประทับใจอย่างฮ่องกง แม้จะต้องเดินทางไปเพียงลำพังก็ตาม
โปรดส่งใครมาวางแผนให้ที
ปัจจัยที่มีผลต่อราคาตั๋วเครื่องบินและที่พักมากที่สุด คงหนีไม่พ้นสภาพภูมิอากาศในช่วงไฮซีซั่นการการเดินทางไปงเพิ่ง่เรียงใน หรือช่วงประกาศลดราคากระหน่ำทั้งเกาะ ฉะนั้นเราจึงต้องหันหน้าไปเพิ่งฟีเจอร์การแจ้งเตือนราคา และฟีเจอร์ Best Price Finder ของ Traveloka ช่วยในการค้นหาราคาที่สอดคล้องกับเงินทุนที่มีอยู่
แผนที่วางไว้ครั้งนี้ เรากำหนดเวลาการเดินทางเอาไว้ที่ช่วงเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม เพราะช่วงเวลานี้ที่ฮ่องกงอากาศน่าจะเริ่มกลับมาร้อนพอๆกับช่วงฤดูร้อนบ้านเราแล้ว ไปคนเดียวตัวเบาๆ ไม่ต้องแบกเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ไปให้รกรุงรัง แบกไปแค่เสื้อยืดสวมใส่สบายกับกางเกงยีนส์สักตัว ส่วนพื้นที่ว่างในกระเป๋าที่เหลือ ก็เอาไว้ใส่ความเหงา แบกเอาไปทิ้งทะเลที่ฮ่องกงก็แล้วกัน
ทว่าแอปพลิเคชันเจ้ากรรมดันทำงานได้รวดเร็วกว่าที่คิด ประมวลผลราคาอันแสนน่าดึงดูดมาในช่วงปลายเมษายน ในขณะที่แผนการเดินทางก็ยังไม่เริ่มคิด ที่พักที่นอนก็ยังไม่ได้เริ่มหา จะแจ้งขอลาพักร้อนแบบกระชั้นชิดก็พาลจะถูกติต่างๆนานา แต่สุดท้ายก็กดจองราคานี้ไปแล้ว การเดินทางก็คงไม่แคล้วจะต้องดำเนินต่อไปในเร็ววัน
การจองตั๋วเครื่องบินและที่พัก
สำหรับทริปแบบติดโปรครั้งนี้ เราเลือกเดินทางกับสายการบิน Thai Airways ด้วยโปรโมชั่น Smart Combo จากคำเชื้อเชิญจากแอพพลิเคชั่น Traveloka ด้วยเหตุผลหลักๆ คือไฟลท์การเดินทางนั้นเหมาะสมกับทริป พร้อมกับมื้ออาหารระหว่างการเดินทางที่เต็มอิ่ม ทำไมเราไม่ลังเลที่ตัดสินใจกดจองการเดินทางด้วยไฟลท์นี้ในทันทีที่เห็นราคาโดนใจ
นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่ที่ให้เราสามารถเพิ่มโรงแรมไปพร้อมกับตอนจองเที่ยวบินได้เลย โดยจะมีส่วนลดเพิ่มให้สูงสุดที่ 15% อีกด้วย ทริปนี้เราเลือกพักที่ Acesite Knutsford ในย่านจิมซาโจ่ย ซึ่งเป็นทำเลที่เดินทางสะดวกและหาของกินได้ง่าย แถมราคาในวันเข้าพักก็ไม่ได้โหดมากนักสำหรับห้องพักแบบนอนคนเดียว เรียกได้ว่าเป็นความสะดวกสบายที่หาได้ยุคปัจจุบันนี้จริงๆ แค่มีมือถืออินเทอร์เน็ตแรงๆกับแอพพลิเคชั่น Traveloka โลกทั้งใบก็อยู่ที่ปลายนิ้วสัมผัสกับปริมาณ Budget ที่มี
เช็คราคาตั๋ว Thai Airways ไปฮ่องกง และเช็คโปรโมชั่นปัจจุบัน ที่ Traveloka คลิกที่นี่
จองที่พัก Acesite Knutsford ในฮ่องกง ดูรายละเอียดและเช็คห้องว่าง กับ Travleoka คลิกที่นี่
แผนการเดินทาง 5 วัน 4 คืน แบบกระชั้นชิด
การเดินทางครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆ เมื่อจำต้องออกไปเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยวแบบไม่ทันตั้งตัวตั้ง 5 วัน 4 คืน จะกินอะไรที่ไหน จะไปสถานที่แห่งใด แล้วจะขึ้นรถลงเรือป้ายไหน หลากหลายคำถามสุมรวมเข้ามาในช่วงอาทิตย์สุดท้ายก่อนจะออกเดินทาง เมื่อตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว ว่าทริปนี้คงไม่จบลงที่ห้างสรรพสินค้าหรือแหล่งช้อปปิ้งเป็นแน่ ผลลัพธ์จากการสืบเสาะแสวงหาสถานที่ยอดฮิตติดธรรมชาติจึงออกมาดังนี้
วันที่ 1 : ออกเดินทางโดยสายการบิน Thai Airways / ดื่มด่ำแสงเย็นที่วิคตอเรียฮาเบอร์ / เฝ้าดูอะซิมโฟนี่ออฟไลท์
วันที่ 2 : ไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมที่อ่าวรีพัลส์เบย์ / เดินสำรวจวิถีผู้คนที่ตลาดสแตนลีย์/ ชมแสงเย็นที่ The Peak
วันที่ 3 : ไปไหว้พระใหญ่ทินถ่าน / เยี่ยมชมหมู่บ้านชาวประมงไท่โอ (เวนิสแห่งฮ่องกง)
วันที 4 : บุกป่าฝ่าดงบนหุบเขาหลังมังกร (Dragon’s Back) / พักกายพักใจที่หาดทรายสวย Shek O Beach
วันที่ 5 : เก็บกระเป๋าเตรียมตัวกลับบ้าน และออกไปเก็บตกสถานที่รอบๆ MTR
การจองกิจกรรมกับ Traveloka
เนื่องจากเป็นการเดินทางไปฮ่องกงแบบตัวคนเดียวครั้งแรก เราก็อยากได้รับความสะดวกรวดเร็วในการเดินทางในวันแรก อันเนื่องมาจากแผนการเดินทางที่ต้องเป๊ะ เราจึงจองบริการบัตรรถไฟด่วน Airport Express ที่สามารถจองได้จากแอพพลิเคชั่น Traveloka ได้เลย แถมใช้งานก็แสนจะง่ายดาย เมื่อผ่าน ตม. และรับกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว สามารถวิ่งฉิวเข้าไปในขบวนรถไฟด่วน Airport Express ได้เลย พอถึงปลายทางก็แค่แสกน QR Code ที่ได้รับมา แค่นี้ก็ทำให้การเดินทางไม่สะดุดไปโดยปริยายแล้วนะเออ
ซื้อบัตรรถไฟฟ้า MTR ฮ่องกง หรือบัตรรถไฟด่วน Airport Express ฮ่องกง ที่ Traveloka คลิกที่นี่
แผนที่การเดินทางจากสนามบินด้วย Airport Express ไปยังสถานี MTR ปลายทาง
นอกจากนี้เรายังใช้บริการซื้อบัตรขึ้นบัตรรถรางพีคแทรมสุดคลาสสิคสกายพาส (เที่ยวไป-กลับ) พร้อมบัตรเข้าสกายเทอร์เรซ 428 จากแอพฯ พลิเคชั่น Traveloka ซึ่งหลังจากชำระเงินแล้ว เราจะได้ตั๋วแบบอิเล็กทรอนิกส์บนมือถือเอาไปแสดงที่จุดแลกบัตรได้ทันที ทั้งสะดวกรวดเร็วทันใจ แถมด้วยราคาที่ถูกใจอีกด้วย
ซื้อบัตรขึ้นรถรางพีคแทรมและบัตรเข้าชมสกายเทอร์เรซ ฮ่องกง ได้ที่ Traveloka คลิกที่นี่
วันที่ 1 : ROAMING
เพราะอยากจะใช้เวลาวันแรกให้คุ้มค่าที่สุด เราจึงเลือกไฟลท์ที่เช้าตรู่ที่สุดของวันเสาร์ แม้จะร่างกายจะออกอาการอ่อนเพลียไปบ้างอันเนื่องมาจากงานปาร์ตี้เมื่อคืนวันศุกร์ แต่เราก็ไม่หวาดหวั่น ลากกระเป๋าขึ้นแท็กซี่ เชคอินผ่านเคาน์เตอร์แบบเบลอๆ ขึ้นไปนั่งเปิดเพลงฟังจนเผลอหลับไปไม่รู้ตัว สะดุ้งตัวขึ้นมาอีกที อาหารเช้าก็มาเสริฟแล้ว พอได้อิ่มท้องหนังตาก็เริ่มหย่อนอีกครั้ง ทำให้รู้สึกว่าการเดินทางที่ใช้เวลา 3 ชั่วโมงนิดๆในครั้งนี้ดูสั้นไปเลย
เวลา 11.30 ของเช้าวันเสาร์ เป็นเวลาที่ผู้โดยสารทั่วทุกสารทิศต่างมาเจอกันที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงแบบมิได้นัดหมาย แม้คิวจะยาวเหยียด แถมต้องพบหน้า ตม. เพื่อซักถามเหตุผลที่เดินทางมากันทุกคน แต่แถวก็ค่อยๆระบายออกไปอย่างรวดเร็ว จากตอนแรกที่คิดว่าจะนานกลับไวกว่าที่คิด เราลากกระเป๋าออกจากสนามบินที่เวลาเกือบๆเที่ยง แวะซื้อซิมใส่โทรศัพท์และหาของกินเล่นไปพลางๆ ก่อนที่จะวิ่งตรงเข้าสู่รถไฟ Airport Express แบบชิวๆ เพราะได้ซื้อบัตรโดยสารมาล่วงหน้าแล้วจากแอพพลิเคชั่น Traveloka
หลังจากเชคอินที่โรงแรมเสร็จ เราก็ออกเดินเท้ามุ่งหน้าไปหาร้าน Lung Kee Wanton บะหมี่ชามใหญ่เสริฟพร้อมเกี๊ยวกุ้งตัวโตๆ พออิ่มท้องก็ถึงเวลาออกเดินเท้าต่อไปยังอ่าววิคตอเรีย ไปรอชมพระอาทิตย์ตกน้ำทะเล พร้อมกับใช้ชีวิตช้าๆผ่านการเฝ้ามองแสงสุดท้ายของวันที่กำลังจะผ่านพ้นไป
เวลา 1 ทุ่มตรงคือเวลานัดหมาย เรารีบก้าวเท้ายาวๆเพื่อรีบไปจับจองพื้นที่ชมการแสดง A symphony of lights แถวหน้าๆ เราเลือกจุดชมการแสดงที่ Clock Tower ซึ่งเป็นจุดที่ผู้คนค่อนข้างหนาแน่น การแสดงเริ่มต้นขึ้นได้อย่างน่าตื่นเต้นและจบลงได้อย่างน่าตื่นตา ทั้งแสง-สี-แสง-และผู้คนที่ยืนรอบๆกาย ทำให้วันแรกของการเดินทางเพียงลำพังคลายความเหงาไปได้กระเปาะหนึ่งเลยทีเดียว
บรรยากาศเช้าตรู่ที่ยังปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆกับเที่ยวบินไฟลท์เช้าของเรา
บินกับสายการบิน Thai Airways ทั้งอิ่มท้องและบันเทิงไปจนถึงปลายทาง
เราวิ่งตรงเข้าสู่รถไฟ Airport Express แบบชิวๆเพราะได้ซื้อบัตรโดยสารมาล่วงหน้าแล้วจากแอพพลิเคชั่น Traveloka
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมง Airport Express ก็พาเรามาถึงยังสถานี Hong Kongที่นี่ยังมีบริการรถบัสต่อไปยังโรงแรมย่านที่นักท่องเที่ยวพักกันแบบฟรีๆอีกด้วย
บรรยากาศถนนลาดชันที่พบเห็นได้ทั่วไปในเมือง ทว่าที่นี่คือทางลาดชันที่เราต้องเดินทางไป-กลับโรงแรมทุกวัน
บะหมี่ชามใหญ่เสริฟพร้อมเกี๊ยวกุ้งตัวโตๆของร้าน Lung Kee Wanton
บรรยากาศริมอ่าววิคตอเรียยามเย็นก่อนที่ตะวันจะลับฟ้า
พระอาทิตย์สีแดงฉานกำลังจะลับขอบฟ้าไปอย่างเชื่องช้าที่อ่าววิคตอเรีย
นักท่องเที่ยวต่างรีบเข้ามาจับจองดูการแสดง A symphony of lights ก่อนการแสดงจะเริ่มในเวลา 1 ทุ่ม
วันที่ 2 : SKY & SEA
เช้าวันที่สองของการเดินทาง แม้จะตื่นขึ้นมาแบบเหงาๆในห้องแคบๆ แต่การเดินทางในวันนี้นั้นยิ่งอัดแน่น และเข้มข้นกว่าวันแรกแน่นอน เราออกเดินทางตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าไปยังสถานี MTR Central เพื่อไปรอรถบัสสาย 6 บริเวณใต้ตึก Exchange Square การเดินทางด้วยรถบัสสายนี้จะได้ผ่านทั้งวิวภูเขา-ทะเล-และหาดทราย ด้วยนะเออ
รถบัสผ่านมาถึงตึกรูปโดนัท (เพราะมีรู) ก็เป็นอันรู้กันว่าถึงที่หมายแล้ว เราเดินลัดเลาะผ่านชายหาดรีพัลส์เบย์ที่ทอดยาว เพื่อไปยังวัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัวที่อยู่สุดปลายหาด
วัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัวเป็นสถานที่อันโด่งดังและเป็นที่รู้จักกันอย่างมาก เนื่องจากเราได้ทบทวนวิธีการสักการะบูชาโดยละเอียดก่อนจะมาถึง เราจึงใช้เวลาขอพรจากเทพเจ้าทั้งหลายได้อย่างครบถ้วนในเวลาไม่นานนัก หลังจากไหว้ขอพรเสร็จ เราก็มุ่งตรงไปยังตลาดสแตนลีย์ที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของเกาะฮ่องกงต่อ บรรยากาศที่นี่คล้ายกับตลาดนัดจตุจักรบ้านเราไม่มีผิด แต่จะต่างกันก็ตรงที่ความเงียบสงบ และร้านอาหารทะเลสดๆที่มีให้เลือกสรรมากมาย
พอแดดร่มลมตกเราก็เดินทางต่อไปยัง สถานี Peak tram เพื่อนั่งรถรางพีคแทรมสุดคลาสสิคขึ้นไปชมแสงสุดท้ายของวัน เราเฝ้าดูแสงอาทิตย์จนคล้อยต่ำและลับขอบฟ้าไป พร้อมๆกับนักเดินทางคนอื่นๆที่ดูจะตื่นตาตื่นใจกับวิว 360 องศาแบบนี้เสียจริง
บริเวณใต้ตึก Exchange Square เป็นสถานีขนส่งขนาดใหญ่ สามารถเดินทางไปยังอ่าวรีพัลส์เบย์ด้วยรถบัสสาย 6
รถบัสพาลัดเลาะภูเขาและต้นไม้ใหญ่จนมาพบกับตึกรูปโดนัท เป็นอันรู้กันว่าถึงที่หมายแล้ว
ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ติดชายหาด "รีพัลส์เบย์" ที่ว่ากันว่าที่ดินแถบนี้ราคาแพงหูฉี่ อาคารบนไหล่เขา ผืนทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ช่างเป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การพักผ่อนหย่อนใจเสียจริง
ชายหาดรีพัลส์เบย์เป็นหาดทอดยาวและค่อนข้างเงียบสงบ
วัดเจ้าแม่กวนอิมทินหัวอยู่บริเวณสุดปลายหาด เราสามารถพบเจอนักเดินทางที่ต่างแวะเวียนมาที่นี่เสมอๆ
ซื้อธูป-เทียน-บูชาเสร็จ ก็ให้มายืนขอพรบริเวณกระเบื้อง (จุดมาร์ค) ที่ตรงกับพระพักตร์ท่านให้มากที่สุด โดยตรงหน้าจะมีบทสวดภาษาไทยแปะไว้ให้ท่องบูชา
สะพานสีแดงฉานที่เชื่อกันว่าหากเดินข้ามนี้ จะทำให้มีอายุยืนขึ้นอีก 3 วัน ( 3 วัน บนสวรรค์ = 3 ปี บนโลกมนุษย์)
เทพเจ้าแห่งความรัก มือขวาของท่านถือสมุดรายชื่อชาย หญิง ที่กำลังมองหาความรัก
ตลาดสแตนลีย์ตั้งอยู่ตอนใต้ของเกาะฮ่องกงและติดริมชายฝั่งทะเล ที่นี่จึงขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเลสดใหม่
บรรยากาศของตลาดสแตนลีย์ที่ผู้คนต่างเดินทางมาช้อปปิ้งและหาอาหารทะเลสดๆทานกัน
ตลาดริมน้ำที่ตั้งร้านชิดแนบสนิทติดกันเป็นทิวแถว เหมือนได้พาตัวเองมาเดินเที่ยวที่จตุจักรอย่างไรอย่างนั้น
The Peak สถาปัตยกรรมรูปทรงคล้ายกับครึ่งวงกลมหงายขึ้น ด้านบนเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นได้แบบพาโนรามาเลยทีเดียว
หากใครเน้นมุมกว้างๆ ก็ให้เดินมาตรงจุดชมวิวที่ศาลา สังเกตไม่ยากเพราะคนจะเยอะมาก
ท้องฟ้าสีครามชวนให้สองสายตาค่อยๆหย่อนคล้อย ลมพริ้วปลิวไสวชวนพักผ่อนหย่อนจิตใจได้มากโข
วันที่ 3 : MOUNTAIN
เช้าวันที่สามของการสะดุ้งตื่นขึ้นอีกครั้งเสียงปลุกจากมือถือ วันนี้เป็นอีกวันที่ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางไปยังเกาะลันเตา เราตัดสินใจที่จะเดินทางด้วยรถบัสสาย 23 แทนการนั่งกระเช้านองปิง เหตุผลเดียวคือเราออกเช้ากว่ากระเช้าจะเปิดบริการ อีกทั้งความหนาแน่นของผู้คนที่มาคอยคิวขึ้นกระเช้าก็เริ่มหนาตากันตั้งแต่เช้าตรู่ สุดท้ายเราจึงศึกษาเส้นทางการเดินทางด้วยรถบัสแทน แม้จะไม่ได้เห็นวิวบนกระเช้าลอยฟ้า แต่วิวสองข้างทางระหว่างการเดินทางด้วยรถบัสก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลยทีเดียว
รถบัสขนส่งผู้คนจำนวนหยิบมือ ซึ่งมาถึงที่หมายก่อนผู้คนจำนวนมากจะมาถึง เราจึงมีเวลาเก็บเกี่ยวความทรงจำและบันทึกภาพด้วยการตั้งกล้องถ่ายแบบสบายๆ ไหว้พระใหญ่เสร็จ ก็เดินลัดเลาะเข้าไปในทางเดินป่า เพื่อไปพบกับเสาไม้สัจธรรม (The Wisdom Path) เสาไม้ที่ทำให้เราเกิดข้อสงสัยว่าใครกันเป็นคนสร้างสถาปัตยกรรมเช่นนี้ขึ้นมาได้
พอเก็บภาพได้อย่างหนำใจแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านชาวประมงไท่โอ เดินชมวิถีชีวิตอันเรียบง่าย ลิ้มรสอาหารทะเล และก็เก็บภาพบรรยากาศภูเขา-แม่น้ำ-และวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวประมงที่นี่ หลากหลายภาพที่ถ่ายมา ยังคงย้ำเตือนถึงความเงียบสงบของหมู่บ้านไท่โอ ที่ผู้คนในสถานที่แห่งนี้กำลังใช้เวลาในชีวิตอย่างคุ้มค่าไปกับชีวิตอันแสนเรียบง่าย เป็นสถานที่ที่สักครั้งหนึ่งต้องมา เพื่อให้เห็นวิถีชีวิตที่แตกต่างให้เต็มสองตา
บรรยากาศอันเงียบสงบยามเช้า เพราะเราเดินทางมาถึงก่อนที่กระเช้านองปิงจะเปิดให้บริการ
เราใช้เวลาไหว้พระขอพร และเก็บเกี่ยวความทรงจำด้วยการตั้งกล้องถ่ายแบบสบายๆ
พระใหญ่ทินถ่านมีความสูงถึง 34 เมตร เป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดในโลกสร้างจากทองสัมฤทธิ์
รูปปั้นเทวดา 6 องค์ ที่กำลังถวายสิ่งของมีความหมายถึง ความดี เมตตา อดทน สงบ สมาธิ และปัญญา
เดินเลาะทางเดินป่าออกมาหน่อยจะได้พบกับ “เสาไม้สัจธรรม” (The Wisdom Path) เป็นเสาไม้ 38 ต้น ที่ปักเป็นหมายเลข 8 ที่มีความหมายถึงความไม่สิ้นสุด
มุมเก็บความทรงจำกันตรงบริเวณสะพานสีฟ้ามุมข้ามคลองยอดฮิต ที่ฉากหลังจะเห็นทั้งภูเขาตั้งตะหง่านและผืนทะเลที่ไปบรรจบกับปลายท้องฟ้า
ลูกชิ้นปลายักษ์ในหมู่บ้านนี้มีหลายร้านเลย ราคาลูกละ 6 เหรียญน่ากินมาก
ความสงบเงียบภายใต้การโอบกอดของภูเขา วัฒนธรรมแบบจีนดั้งเดิม และความเป็นอยู่อันเรียบง่ายของผู้คนที่นี่
วันที่ 4 : NATURE
“ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผมได้แต่พยายามถามตัวเองว่าจะฝืนสังขารไต่ขึ้นหลังมังกรมาทำไม ทั้งๆที่นิ้วเท้าเริ่มพอง และควรที่จะพักเท้าให้คืนกลับมาอยู่ในสภาพเดิมเสียก่อน”
หลังจากที่เดินเยอะมากๆมาตลอดสามวัน นิ้วเท้าก็ค่อยๆเริ่มพองและบวมขึ้นมาแล้ว อย่างไรก็ดีวันนี้เป็นอีกวันดีที่เราจะได้ออกไปเดินย่ำบนเขาหลังมังกรเสียที เราเตรียมพร้อมตุนเสบียงอาหารและเครื่องดื่มแต่เช้า เพื่อการเดินทางเข้าป่าในวันนี้ เราออกเดินทางไปยัง MTR Shau Kei Wan แล้วต่อด้วยรถบัสสาย 9 จุดเริ่มเดินเท้ามีให้เลือกอยู่ 2 จุดคือ Cape Collinson และ To Tei Wan ซึ่งอยู่ถัดไปอีกสองป้าย ซึ่งครั้งนี้เราเลือกที่จะขึ้นทาง Cape Collinson อันเนื่องมาจากความชันที่น้อยกว่า แต่ก็ต้องแลกมาด้วยระยะทางที่มากกว่าเช่นกัน
เป็นการเดินป่าที่ช่างเงียบสงบและเริ่มรู้สึกเหงาอยู่หน่อยๆ เพราะผู้คนส่วนใหญ่นั้นเลือกที่จะขึ้นทาง To Tei Wan และเริ่มออกเดินทางกันช่วงสายๆมากกว่า ในขณะที่เราได้แต่เดินโดดเดี่ยว-คนเดียวในป่าใหญ่ เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นต่อหมอกที่ปกคลุกอย่างหนาตา ทว่าสุดท้ายแล้วก็มาถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัยด้วยการเดินชมป่าไปเรื่อยๆ แบบไม่รีบเร่งเกินไป
จบจากการเดินป่าที่แสนสนุก เราก็ไปพักผ่อนกายใจกันต่อที่ชายหาด Shek O Beach นั่งรถบัสสาย 9 สายเดิมมุ่งหน้าต่อไปจนสุดสาย ที่ Shek O Beach เราจะได้เห็นจุดปีนเขาและจุดชมวิวทะเลที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
จุดปล่อยตัวที่ Cape Collision เป็นบันไดปูนอย่างดี แต่หลังจากนั้นไป เป็นทางเดินป่าล้วนๆ
ระหว่างทางเดินเข้าป่าอันเงียบสงบ เราจะพบกับเสียงลมหายใจและเสียงข้างในหัวใจของตัวเอง
ยิ่งเดินยิ่งไกลกว่าที่คิด สภาพหมอกยามเช้าลอยตามมาด้านหลัง ก่อนที่ฝนจะตกลงมา
ป้ายบอกระยะ-ที่พบเจอได้ระหว่างทาง ชวนให้เรารู้ว่าเป้าหมายอยู่อีกไม่ไกลแล้ว
สุดท้ายเราก็กลายเป็นผู้พิชิตหลังมังกรแบบเหงาๆ เพราะขึ้นมาถึงเช้าตรู่กว่าใคร
Shek O Beach เป็นทั้งจุดปีนเขาและจุดชมวิวทะเลที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว
Shek O Lovers Bridge ชื่อนี้ได้มาเพราะสะพานมันแคบ ไว้สำหรับคนสองคนเดินผ่านได้เท่านั้น
บรรยากาศวิวด้านหน้าสะพาน Lovers Bridge เป็นอ่าวที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาเลยทีเดียว
วันที่ 5 : HOME
และแล้วก็ถึงเวลาเก็บกระเป๋ากลับบ้านเสียที อีกเหตุผลหนึ่งที่เราเลือกเดินทางด้วยสายการบิน Thai Airways ก็เพราะสามารถทำ In town check in ที่ Hong Kong station ได้ ส่งกระเป๋าไปกับสายพาน แล้วบ่ายๆก็ไปเจอกันที่สนามบินได้เลย
เราออกเดินทางไปเก็บตก หาของกิน และของฝาก ตามสถานที่ติดแนวรถไฟฟ้า MTR ก่อนที่จะเก็บภาพสุดท้ายที่ Choi Hung Estate
หลายครั้งที่เราเฝ้ามองรูปถ่ายจากสถานที่แห่งนี้จากมุมมองของตากล้องคนอื่นๆ ซึ่งมักจะเห็นแค่ภาพสนามบาส อาคารที่ถูกฉาบไว้ด้วยสีสัน และความว่างเปล่าของผู้คน ทว่าความเป็นจริงแล้ว สนามบาสของ Choi Hung Estate นั้นไม่เคยเงียบเหงาเอาเสียเลย มันทำให้เรากลับมาคิดถึงการเดินทางอันโดดเดี่ยวตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่จะต้องกลับบ้าน บางทีความเหงาอาจเป็นได้ทั้งขั้วบวกและขั้วลบ ที่ดึงดูดให้เราได้มีโอกาสออกมาเผชิญหน้ากับการผจญภัยบนโลกหล้าอีกครั้ง แม้การเดินทางอาจมีทั้งโอกาสและอุปสรรคที่ต้องเผชิญอยู่ข้างหน้า ทว่าเราก็ผ่านพ้นมันไปได้อยู่ดี และสุดท้ายแล้วความเหงามันก็จางหายไปเองโดยไม่รู้ตัวจริงๆ
บทสรุปของการเดินทางเพียงลำพัง
เมื่อครั้งหนึ่งในชีวิตได้ทำอะไรสนุกแบบสุดๆ มันช่างเหมือนกับการได้กลับไปผจญภัยบนโลกกว้างอีกครั้ง การไปเที่ยวแบบตัวคนเดียว สะพายเป้ ลุยเดี่ยว อยากไปที่ไหนก็ไป อยากเปลี่ยนแผนการเดินทางเมื่อไรก็เปลี่ยนได้ อุปสรรคแค่ไหนก็ไม่หวาดหวั่น ประสบการณ์ครั้งนี้มันสอนให้เรากล้าที่จะลงมือทำทั้งๆที่ยังมีความกลัวสะสมอยู่ภายใน
แม้ “ความเหงา” ในการเดินทางเพียงคนเดียว อาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราครุ่นคิดถึงความกังวลต่างๆ ตลอดการเดินทาง ทว่าความกล้าลองผิดลองถูกในการเดินทางในครั้งนี้มันกลับทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
บอกเลยว่าทริปนี้ เพราะได้ความช่วยเหลือจากแอพพลิเคชั่นและฟีเจอร์ดีๆสำหรับนักเดินทางอย่าง Traveloka ตัวช่วยสำคัญที่ทำให้การเดินทางสะดวกสบายและทันใจมากขึ้น เพียงแค่โหลดแอพพลิเคชั่น Traveloka ติดตัวเอาไว้ใช้งานรับรองว่าการเดินทางครั้งใหม่ของคุณจะสนุกขึ้นอีกมากโขเลยทีเดียว
เมื่อโลกที่กว้างยังมีอะไรมากมายให้เราออกไปค้นพบ จงอย่ากลัวที่จะออกเดินทางไปเพียงลำพัง !!!
by THEEXPLORER