อากาศดีๆ แบบนี้ คือช่วงเวลาที่เหมาะกับการไปเยือนภาคอีสานแบบสุดๆ เลยละ และหนึ่งในพิกัดที่เชื่อว่าหลายคนต้องเล็งไว้ เรามั่นใจว่าต้องมีบึงกาฬอยู่ด้วยแน่ๆ เพราะจังหวัดใหม่เอี่ยมของประเทศไทยแห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยพิกัดท่องเที่ยวทางธรรมชาติเด็ดๆ มากมาย แถมยังมีพิกัดที่คนศรัทธาพญานาคพลาดไม่ได้อยู่หลายแห่งตลอดเส้นทางเลยละ โดยเราเลือกปักหมุดบินไปลงที่อุดรธานีแล้วขับรถต่อไปนะ ทั้งตั๋วเครื่องบินและรถเช่าหาได้จาก Traveloka ที่เดียวเลยจ้า ราคาดีแถมจองง่ายด้วยนะ เริ่ดขนาดนี้บอกเลยว่าควรไปโดน!
เคยไหม? แพลนทริปทีไร ก็ไม่รู้จะไปเที่ยวที่ไหนให้ไม่เกินงบ!
ลองใช้ Discover จาก Traveloka ช่วยแพลนทริปแบบมือโปร ไม่ว่าจะเที่ยวที่ไหน เมื่อไหร่ ก็ไม่เกินงบแน่นอน พร้อมตัวช่วยแนะนำตั๋วเครื่องบินราคาถูก ลองใช้กันได้เลย
เรากดตั๋วเครื่องบินไปอุดรฯ จาก Traveloka ได้มาชิลล์ๆ เที่ยวละ 600 นิดๆ ต่อคน ก็นี่ละคือเหตุผลที่เราเลือกไปเที่ยวในวันธรรมดาเพราะราคาทุกอย่างคือดี! ส่วนราคารถเช่าก็กดมาได้ที่ 800 นิดๆ ต่อวัน ถ้าในทริปมีซัก 3 - 4 คนคือหารกันได้สบ๊ายสบาย เอาละ… ตั๋วพร้อม รถพร้อม คนพร้อม ก็เริ่มล้อหมุนกันได้เลย!
จากสนามบินอุดรธานี เราขับรถมุ่งไปยัง วัดถ้ำศรีมงคล ในจังหวัดหนองคายเป็นแห่งแรก เพราะที่นี่มีถ้ำดินเพียงซึ่งมีความเชื่อและเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่านี่ละคือเส้นทางสู่เมืองบาดาลของพญานาค เนื่องจากภายในถ้ำมีน้ำไหลผ่าน มีความชื้นตลอดเวลา และยังมีลักษณะเป็นโพรงใหญ่ลึกลับสลับซับซ้อน บางคนก็เชื่อว่าพระภิกษุซึ่งมีฌานแก่กล้าจะใช้เส้นทางนี้เพื่อธุดงค์ข้ามมาจากฝั่งลาวได้ บางคนยังเชื่อว่าถ้ำนี้เชื่อมต่อไปถึงคำชะโนดได้อีกด้วยนะ ถ้าอยากลงไปชมถ้ำนี้ ต้องมีไกด์ท้องถิ่นนำลงไปเพื่อความปลอดภัยจ้า แลดูต้องลุยหน่อยนะ แต่เชื่อว่าด้วยพลังศรัทธาทุกคนจะทำได้แน่นอน
ขับรถต่อมาอีกไม่ไกล เราก็จะได้แวะสัมผัสวิวสวยที่มาพร้อมความเสียวไส้กันที่ สกายวอล์ค วัดผาตากเสื้อ ซึ่งเป็นทางเดินกระจกใสยื่นยาวออกไปนอกหน้าผา และถ้าเอาชนะความกลัวที่สูงได้ ก็จะได้เห็นทิวทัศน์ของโค้งแม่น้ำโขงและความสวยของฝั่งหนองคายและ สปป. ลาว แบบพาโนรามาเต็มๆ ตา ช่วงเช้าของบางวันยังอาจจะได้เห็นหมอกขาวๆ ลอยอยู่ใกล้ๆ ตรงหน้าด้วยนะ มาหนองคายแล้วห้ามพลาดจ้า ถือว่าเป็นอีกพิกัดเด็ดที่ควรต้องมาเช็คอินซักที
จากอำเภอสังคมของหนองคาย เรามุ่งหน้าสู่อำเภอโพนพิสัยเพื่อเช็คอินกันที่ วัดไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในทำเลยอดฮิตที่ใช้ดูบั้งไฟพญานาคแห่งหนึ่งเลยละ ในวัดนี้ยังมีถ้ำเมืองบาดาลจำลองให้ชมกันด้วยนะ เพราะมีความเชื่อว่าใต้แม่น้ำโขงหน้าวัดนี้เป็นที่ตั้งเมืองหลวงของเมืองบาดาลซึ่งมีพญานาคอาศัยอยู่ ใครอยากส่งท้ายด้วยการลอดปากพญานาคเพื่อสะเดาะเคราะห์ที่นี่เค้าก็มีด้วยจ้า ที่เริ่ดคือที่นี่อยู่ในเส้นทางมุ่งสู่บึงกาฬด้วยนะ ทุกอย่างเป็นใจขนาดนี้ ไม่มาไม่ได้แล้วละ เอาจริง
ก่อนเข้าตัวเมืองบึงกาฬ เราแวะเช็คอินกันตรงบริเวณที่เชื่อว่าเป็นสะดือของแม่น้ำโขงที่ แก่งอาฮง ว่ากันว่าบริเวณนี้คือส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำโขงซึ่งมีความกว้างราว 300 เมตร แต่มีความลึกถึงประมาณ 200 เมตรเลยจ้า ช่วงวันออกพรรษา ที่นี่เป็นอีกหนึ่งพิกัดซึ่งผู้คนนิยมมาใช้นั่งชมบั้งไฟพญานาคกันด้วยนะ ตามตำนานเชื่อกันว่าบริเวณนี้จะเป็นศูนย์รวมของเหล่าพญานาคในช่วงวันออกพรรษาเพื่อร่วมปล่อยลูกไฟถวายเป็นพุทธบูชา นี่จึงเป็นอีกพิกัดที่คนศรัทธาพญานาคต้องแวะมาชมด้วยตากันซักที
เราปิดท้ายวันแรกด้วยการท้าทายกำลังขาที่ ภูทอก อีกหนึ่งพิกัดที่เป็นตัววัดความศรัทธาของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เพราะบนยอดสุดของภูทอกแห่งนี้คือที่ตั้งของวัดเจติยาศรีวิหาร ซึ่งมีการสร้างบันไดและทางเดินจากไม้เกาะเกี่ยวอยู่บนผาหินวนไปรอบๆ ภูเขาแบบ 360 องศา โดยทั้งหมดนั้นใช้เวลาสร้างถึง 5 ปี ด้วยฝีมนุษย์ล้วนๆ จ้า กว่าจะไปถึงด้านบนสุดนั้นต้องเดินผ่านชั้นต่างๆ ทั้งหมด 7 ชั้นด้วยกันนะ ใช้เวลาพอสมควรเลยละ แต่ถ้าเรามุ่งมั่นและศรัทธา ถึงจะขาสั่นหน่อยนะแต่รับรองว่าขึ้นไปถึงได้ทุกคนแน่นอน
วันต่อมาเราออกสตาร์ทกันแต่เช้า เพราะตั้งเป้าไปเช็คอินกันที่ ถ้ำนาคา ซึ่งเป็นไฮไลท์หลักของการมาบึงกาฬในคราวนี้ ถ้ำนาคานั้นอยู่ในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติภูลังกา ใช้เวลาขับรถออกจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ จ้า การจะเดินขึ้นไปถึงด้านบนนั้นเรียกว่าไม่ง่าย เพราะต้องไต่บันไดสูงชันขึ้นไปกว่า 1,400 ขั้น นับเป็นพิกัดวัดใจที่ต้องใช้ทั้งแรงใจ แรงศรัทธา และกำลังขาอย่างหนักหน่วงจึงจะขึ้นไปถึงนะ เผื่อเวลาไว้เยอะๆ เลยจ้า เพราะด้านบนนั้นมีจุดต่างๆ ที่น่าสนใจให้เดินชมกันไม่น้อยเลยละ ช่วงนี้ต้องจองผ่านแอพ QueQ ไปล่วงหน้าก่อนนะ อย่าพลาดจ้ะ รับประกันว่าด้านบนนั้นคุ้มค่าความเหนื่อยยากแน่นอน
จากความเหนื่อยล้าในการปีนป่ายไต่เขาขึ้นไปยังถ้ำนาคา ขากลับเราจึงแวะมาหาความสดชื่นกันที่ น้ำตกถ้ำพระ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพิกัดอเมซิ่งของบึงกาฬสำหรับเราเลยละ เพราะลักษณะของตัวน้ำตกที่เป็นลานหินกว้างแลดูแปลกตา แถมยังมีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานอยู่บนผาหินของตัวน้ำตกไปอีกจ้า น้ำตกมีสามชั้นซึ่งสามารถเดินถึงกันได้ไม่ยากเท่าไหร่นะ ไฮไลท์ของที่นี่คือการมีสไลเดอร์หินให้เราได้ไหลลื่นไปตามสายน้ำเหมือนได้ย้อนวัยกันเลยจ้า ขึ้นเขามาเหนื่อยๆ ได้มาเล่นน้ำที่นี่ก็คือ fresh สุดอ่ะ บอกเลยว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ
เช้าวันต่อมา เราลืมตากันตั้งแต่เช้ามืดเพราะมี หินสามวาฬ เป็นพิกัดต่อไป ก็มาบึงกาฬทั้งที จะพลาดการได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ก็เหมือนเป็นการทำผิดครั้งยิ่งใหญ่เลยเชียวละ บอกได้เลยว่าวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ได้เห็นจากยอดผาหินอายุ 75 ล้านปี ที่ดูจากด้านบนเหมือนวาฬพ่อ แม่ ลูก แห่งนี้นั้นไม่ธรรมดา เพราะเราจะได้เห็นหมอกจางๆ พร้อมท้องฟ้าที่ไล่โทนสีสวยก่อนจะตามมาด้วยพระอาทิตย์สีส้มสดใสสะใจ โดยมีด้านล่างเป็นป่าไม้สีเขียวสมบูรณ์ผืนใหญ่ ถ้าไม่อยากพลาดวิวดีๆ มาถึงที่นี่ก่อนหกโมงเช้าให้ได้น้า ตื่นเช้าหน่อยแต่เด็ดเว่อร์วังปังจริงอะไรจริงจ้ะ รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอน
ลานธรรมภูสิงห์ คืออีกพิกัดที่อยู่ไม่ไกลมากจากหินสามวาฬ และเป็นการได้มาแวะไหว้พระในอีกฟีลหนึ่งที่ต่างออกไป ตรงนี้จะเป็นลานกว้างซึ่งมีหินทรายแดงขนาดใหญ่ตั้งอยู่ โดยถ้าใช้จินตนาการมองดูดีๆ จะเห็นเป็นรูปคล้ายสิงโตนอนหมอบอยู่เลยจ้า และนี่ละเป็นที่มาของชื่อภูสิงห์แห่งนี้ แถมที่นี่ยังมีองค์หลวงพ่อพระสิงห์ประดิษฐานอยู่บริเวณลานกว้างให้นักเดินทางได้แวะไปกราบสักการะเอาฤกษ์เอาชัยกันด้วยนะ ใครชอบไหว้พระขอแนะนำให้ลองแวะไป
อีกหนึ่งพิกัดที่อยู่ไม่ไกลกันก็คือ จุดชมวิวส้างร้อยบ่อ ซึ่งเป็นลานหินขนาดไม่ใหญ่แต่มีลักษณะแปลกตา เพราะพื้นที่ลานเกือบทั้งหมดโดยเฉพาะบริเวณริมผานั้นมีลักษณะเป็นหลุมหินหลากหลายขนาดกระจายตัวอยู่ทั่วไป บริเวณนี้เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยสุดๆ อีกแห่งในบึงกาฬเลยด้วยนะ แต่ถ้าไม่ได้มาช่วงเย็นก็จะได้เห็นวิวด้านหน้าเป็นผืนป่าสีเขียวที่เต็มไปด้วยต้นไม้แบบแน่นๆ กันเลยจ้า ก็สวยไปอีกแบบนะ ว่าไม่ได้!
จากบึงกาฬ เรามุ่งหน้าขับรถกลับไปยังสนามบินอุดรธานีโดยมี คำชะโนด เป็นพิกัดสุดท้าย เพราะถ้ามาถึงเมืองอุดรฯ ทั้งที จะพลาดการมาไหว้ขอพรพ่อปู่ศรีสุทโธและแม่ย่าศรีประทุมมาของที่นี่ก็คงเหมือนขาดอะไรไปเลยละ ใช้เวลาขับรถกันประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะได้มาสัมผัสกับความขรึมขลังอลังการอันยิ่งใหญ่ในบริเวณนี้กันแล้วจ้า ไหว้ขอพรเสร็จแล้วก็พุ่งตรงดิ่งไปสนามบินอุดรฯ ได้เลยน้า เผื่อเวลากันให้ดีละ อย่ามัวแต่ขอพรหาเลขเด็ดจนตกเครื่องก็แล้วกัน!
บอกเลยว่าทริปนี้เราจัดหนักจัดเต็มกับทุกพิกัดเด็ดซึ่งมาพร้อมเรื่องราวเกี่ยวกับพญานาคเท่าที่เวลา 3 วัน 2 คืนจะอำนวยให้เลยจ้า รับรองว่าได้สัมผัสเรื่องราวของพญานาคกันหลากรูปแบบหลายอารมณ์เลยเชียวละ ยิ่งถ้าหาที่พักราคาสบายกระเป๋าได้ด้วยนะ บอกเลยว่าจะได้มูกันแน่นๆ แบบงบไม่บานปลายแน่นอนจ้า ใครสนใจตามรอยได้เลยนะ เฮงๆ ปังๆ กลับมาเด้อทุกคนนน!