เมื่อพูดถึงการเที่ยวภาคใต้หลายคนอาจจะมองข้าม “ตรัง” ไป เพราะคนส่วนใหญ่ก็มักจะนึกถึงจังหวัดใหญ่ที่เป็นเมืองหลักอย่างเช่น ภูเก็ต หรือว่ากระบี่ แต่อันที่จริงแล้วตรังเอง ก็เป็นเมืองรองที่ไม่อยากให้มองข้ามจริงๆ เพราะตรังเอง ถือว่าเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก มีทั้งน้ำตก ภูเขา และทะเล ที่สำคัญยังมีเกาะน้อยใหญ่มากมาย อันเป็นสีสันของตรัง ที่เชื่อว่าไม่แพ้เกาะอื่นๆ ในแถบละแวะเดียวกันนี้เลย นอกจากนั้นเองตรังยังมีส่วนที่น่าสนใจแบ่งเป็นโซนเมืองเก่า ไม่ว่าจะลัดเลาะหาของกินอร่อย เดินถ่ายรูปสตรีทอาร์ท หรือไปเที่ยวทะเล ตามเกาะต่างๆ ก็ดีต่อใจไม่แพ้กันเลย
คิดได้ดังนี้วันหยุดเสาร์-อาทิตย์นี้ ก็จัดแจงลางานประมาณ 1 วัน จัดเป็นทริปเที่ยวตรัง 3 วัน 2 คืนขึ้นมา เห็นเวลากระชั้นชิดแบบนี้ ก็คือจองตั๋วเครื่องบินไปตรัง เพราะเน้นความสะดวก สบาย และประหยัดเวลา ไม่ได้ขับรถไปจ้า ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น ครั้งนี้ก็ได้จองตั๋วเครื่องบินไปตรังกับ Traveloka เจ้าเดิม เพราะคุ้มค่า ยิ่งเวลาใส่โปรโมชั่นลดราคาตั๋วเครื่องบิน ก็ช่วยลดราคาให้ถูกลงไปได้อีกกว่าเดิม ใครยังไม่เคยจอง แนะนำให้ลองเพราะมีเปรียบเทียบราคาชัดเจน
แนะนำรถเช่าตรัง
หากใครที่ไปเที่ยวตรังแล้วอยากเช่ารถขับเอง หรือว่าอยากจัด Road Trip สักครั้ง ให้ลองเช่ารถตรัง หรือว่ารถเช่าตรังกับ Traveloka ดู เพราะตอนนี้ทราเวลโลก้า ก็มีบริการใหม่ ที่พอแค่บินมาลงสนามบินตรัง ก็มานัดรับรถไปขับเที่ยวกันได้เลย เลือกเวลาคืนรถ วันที่ต้องการใช้รถได้ล่วงหน้า มีให้เลือกระหว่างแบบมีคนขับ และแบบขับเอง แต่ทริปนี้ต้องการความสนุก และความเป็นส่วนตัวหน่อย เลยเลือกบริการรถเช่าตรังแบบขับเอง
ทริปวันแรก: ตะลุยเมืองตรัง
หลังจากลงเครื่องบินมายังเมืองตรังด้วยไฟลท์ที่คิดว่าเช้าที่สุด ทริปนี้ฉันต้องคุ้ม ก็ไม่รอช้ากำตั๋วอิเล็กทรอนิกส์รถเช่าตรัง ที่จองกับ Traveloka แล้วรีบบึ่งไปเอารถทันที ด้วยทริปขับรถวันแรกนี้ เราจะตระเวณไปเที่ยวกันให้ทั่วเมืองตรังกันก่อน เพราะภายในตัวเมืองเก่าตรังก็มีสิ่งที่น่าสนใจคือเพียบ ขับรถไป แวะถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ พร้อมพาไปชมจุดเช็คอินเมืองตรังดังต่อไปนี้
แนะนำที่พักตรัง
อันที่จริงที่พักตรังก็มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่พักในเมือง แบบโฮมสเตย์ หรือว่าจะไปกางเต้นท์นอนบนเกาะต่างๆ ก็มีให้เลือกสรรมากมาย แต่สำหรับทริปนี้เราขอเลือกที่จะนอนในเมือง เนื่องจากวันแรกจะขับรถไปเที่ยวตามที่ต่างๆ ในตัวเมืองตรังเยอะสักหน่อย ส่วนที่พักตรังที่เลือกในทริปนี้ก็คือ
เดอะ ทรี สลีป แอนด์ สเปซ (THE TREE Sleep and Space)
สำหรับที่พักตรังนี้ก็ออกแนวโมเดิร์นหน่อย มีสไตล์ตกแต่งที่กึ่งลอฟท์นิดๆ เอาจริงที่เลือกก็เพราะว่าดีไซน์ล้วน คิดว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่น่าจะชอบ ความโดดเด่นก็คือประเภทห้องพักที่มีให้เลือกเยอะเนี่ยแหละ ทั้งแบบห้องนอนรวม ที่ใครจะมาเที่ยวตรังคนเดียว หรือมากับเพื่อนทั้งแก๊งค์ก็ย่อมได้ หรือว่าจะเลือกนอนเป็นห้องไพรเวทไปเลยก็มีให้เลือก ที่สำคัญราคาไม่แพง คุ้มค่า อยากจะแนะนำเลย
วงเวียนพะยูน
บางคนก็ว่าถ้าแวะมาตรัง แล้วไม่ได้มาถ่ายรูปกับวงเวียนพะยูน ก็เหมือนกับมาไม่ถึงเมืองตรัง เพราะว่าวงเวียนพะยูน ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คดังของเมืองตรังนี่เอง หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า ที่ตรังมีพะยูน ที่ว่ายน้ำขึ้นมากินสาหร่าย และแพลงตอนตามธรรมชาติที่เกาะลิบง อันเป็นสัตว์ที่หายาก และเป็นสัตว์ที่หลายประเทศทั่วโลกต้องการจะอนุรักษ์เอาไว้ โดดเด่นด้วยการเป็นน้ำพุที่สูงประมาณ 4 ชั้นได้ ความสูงแต่ละชั้นจะมีเรื่องราว ถูกแกะสลักออกมาเป็นเรื่อของวรรณคดีไทย ซึ่งชั้นสุดท้ายจะเป็นพะยูน ตั้งอยู่ที่ถนนพัทลุง ตรงจวนผู้ว่าฯ
เติมพลังที่ร้านติ่มซำพงษ์โอชา
ยังไม่ทันจะเริ่มทริปก็ต้องขอแวะเติมพลังกันสักหน่อย เพราะเป็นอันว่าหิว บินมาแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวเลย เป็นร้านติ่มซำชื่อดัง พงษ์โอชาที่มีให้เลือกหลายสาขา แล้วแต่สะดวกว่าใครจะไปกินสาขาไหน จุดเด่นเลยก็ต้องยกให้เมนูติ่มซำอันแน่นอนอยู่แล้ว ข้อดีคือมีให้เลือกหลากหลายเชียวแหละ รสชาติจะเป็นจุดเด่นของติ่มซำตรังเลย มีความหวานกลมกล่อม ซอสที่เอาไว้กินคู่กับติ่มซำรสชาติก็เด็ดอย่าบอกใครเชียว นอกจากเมนูติ่มซำแล้ว แนะนำให้สั่งเมนูหมูย่างอีกหนึ่งอย่าง เพราะเป็นไฮไลท์ของเด็ดเมืองตรังที่ไม่อยากให้พลาดเลย
เวลาเปิดปิด: ตั้งแต่ตี 5 ไปจนถึงเที่ยง
วิหารคริสตจักร (Trang Church)
จุดเช็คอินแห่งต่อไปก็คือไฮไลท์ที่เที่ยวเมืองตรังอีกหนึ่งแห่ง เป็นโบสถ์คริสตจักรที่มีอายุเก่าแก่มากกว่า 100 ปีมาแล้วด้วยกัน ตั้งอยู่ภายในเมืองตรังนี้เอง ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อปี 1915 จนบัดนี้ก็นับเป็นเวลามากกว่าหนึ่งร้อยปีมาแล้ว ตัวอาคารโบสถ์เองยังคงเห็นเป็นโบสถ์ที่สมบูรณ์ เนื่องจากเวลาที่ผันเปลี่ยนไม่อาจจะทำให้โบสถ์ดูทรุดโทรมลง ประกอบกับมีการบูรณะโบสถ์ตลอดเวลา ทำให้โบสถ์คริสตจักรยังคงงดงามอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งโบสถ์แห่งนี้จะต้องแต่งกายให้สุภาพเมื่อมาเยือน และไม่มีการอนุญาตให้ถ่ายพรีเวดดิ้ง ไม่มีค่าเข้าชมแต่อย่างใด เข้าชมได้ฟรี
สถานีรถไฟกันตัง (Kantang)
มาถึงจุดเช็คอินตรังแห่งต่อไป ใครที่คิดว่ามาเที่ยวตรังแล้วทำไมเราจะต้องมาเที่ยวที่สถานีรถไฟกันด้วย ขอเกริ่นก่อนว่า ถ้าใครชอบถ่ายรูปแล้วไม่ได้มาเยือนสถานีรถไฟกันตังนี้ จะเสียใจมาก เพราะว่าสถานีรถไฟกันตัง เป็นสถานีที่เก่าแก่ คงกลิ่นอายของความวินเทจเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมทีเดียวเชียวแหละ ด้วยความที่เป็นทางรถไฟสายใต้ที่มาสุดทางของฝั่งรถไฟทะเลอันดามัน แต่เดิมทีมีชื่อว่า “สถานีรถไฟตรัง” แต่ได้ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น สถานีรถไฟกันตัง สมัยก่อนสถานีรถไฟกันตังนี้ จะมีความคึกคักมาก เพราะเป็นส่วนต่อขยายจากสถานีรถไฟ ไปยังท่าเรือ แต่พอท่าเรือกันตังได้ถูกยกเลิกลง จึงคงไว้เพียงสถานีรถไฟกันตังนี้เอง
จุดเด่นอีกอย่างที่ทำให้สถานีรถไฟกันตัง ต่างเป็นจุดถ่ายรูปย้อนฮิตของตรัง เพราะว่าตัวอาคารเป็นสีเหลือง มีทรงโบราณแบบโคโลเนียล ให้ฟีลย้อนยุคได้ดี ถึงแม้ว่าทริปนี้เราจะไม่ได้นั่งรถไฟมา แต่เชื่อว่าทริปหน้าถ้ามีโอกาส จะลองนั่งรถไฟมาเที่ยวตรังกันดูสักครั้งให้ได้เลย
พิพิธภัณฑ์พระยารัษฎานุประดิษฐ์มหิศรภักดี (Phraya Ratsada Nu Pradit Mahisara Phakdi Museum)
เห็นชื่อยาวแบบนี้ไม่ต้องตกใจ เพราะเป็นที่รู้กันว่าชื่อสั้นของที่เที่ยวตรังแห่งนี้ ก็คือจวนเก่าของเจ้าเมืองตรังนั่นเอง ณ ที่แห่งนี้แต่เดิมที เป็นจวนเก่ามาก่อน ซึ่งในตอนนี้จวนเก่าก็ยังคงอยู่ สืบทอดมายังรุ่นลูกรุ่นร้านให้ได้เข้ามาชมกันในรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ เป็นที่เที่ยวตรังซึ่งตั้งอยู่ภายในเมืองตรัง ที่อยากแนะนำว่าไม่ควรพลาดเลยจริง เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่อันสำคัญ และทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ยิ่งนัก
ลักษณะความโดดเด่นของจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ จะเป็นบ้านไม้สองชั้น ด้านในจะมีทั้งหุ่นขี้ผึ้ง และข้าวของเครื่องใช้เก่าเก็บ ที่ถูกรักษาให้อยู่ในสภาพดี ซึ่งใครที่อยากมาเที่ยวชมความงดงามของจวนเก่าเจ้าเมืองตรังนั้น สามารถมาได้ทุกวัน แต่ยกเว้นวันจันทร์ เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 08.30 -17.00 น. โดยไม่เสียค่าเข้าชมแต่อย่างใด
หลังจากเที่ยวพิพิธภัณฑ์เสร็จก็หมดแรง หาอะไรกินง่ายๆ ขับรถไปเช็คอินที่โรงแรมเพื่อพักเอาแรงก่อน พอแค่นี้สำหรับวันแรก เตรียมตัวไปตะลุยวันเดย์ทริปกันอีกพรุ่งนี้ บอกเลยใครอยากขับรถเที่ยวตรัง สามารถลอกแพลนเที่ยวทริปตรังกันไว้ได้เลย
ทริปวันที่สอง: เที่ยวธรรมชาติในตรัง
ตื่นแต่เช้ากินติ่มซำเป็นมื้อเช้ารองท้อง ก่อนที่จะขับรถเพื่อที่ออกไปเที่ยวจุดหมายปลายทางแรกของเรา ก็คือ “เขาหัวแตก” เป็นที่เที่ยวตรังที่เราว่าค่อนข้างจะ Unseen เลยแหละ เพราะไม่ค่อยได้ยินชื่อมาก่อน แต่ตอนนี้ก็มีรีวิวกันเยอะ บริเวณเขาหัวแตกนี้ จะตั้งอยู่ที่ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง เป็นแหล่งน้ำจืด ไม่ใช่แหล่งน้ำเค็ม ภายหลังได้มีการพัฒนาพื้นที่บริเวณนี้ให้กลายมาเป็นที่เที่ยวแห่งใหม่ของตรัง
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: https://www.facebook.com/wannabovorn/ หรือเขาหัวแตก ตรัง
ที่บริเวณเขาหัวแตกนี้ เป็นพื้นที่ภูเขาที่ล้อมรอบไปด้วยแม่น้ำ นักท่องเที่ยวที่มาเยือนเขาหัวแตก ก็สามารถมาพายเรือคายัคบริเวณโดยรอบนี้ได้ ถือว่าเป็นกิจกรรมยอดนิยมกิจกรรมหนึ่งของที่เที่ยวตรัง ความดีงามของการมาพายเรือคายัคที่บริเวณเขาหัวแตกนี้ ก็คือไม่แพง เพราะว่าจ่ายแค่ 120 บาทสำหรับ 2 ที่นั่ง แบบไม่จำกัดเวลาเลย เราก็ได้เพลิดเพลินอยู่บริเวณเขาหัวแตกนี้หลายชั่วโมงอยู่ เพราะนอกจากพายเรือแล้วนั้น ยังได้นั่งกินข้าวที่ร้านแลวิวด้วย ก่อนจะได้มูฟออนไปยังที่เที่ยวตรังถัดไป
ถ้ำเลเขากอบ (Tham Le Khao Kob)
ไฮไลท์ที่เที่ยวตรังแห่งถัดไปของวันนี้ หลังจากที่เที่ยวเขาหัวแตกเสร็จแล้ว ก็มายังที่เที่ยวถัดไป ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมาก และคิดว่าเป็นจุดเด่นของทริปตรังนี้เลย เพราะว่าเป็นถ้ำที่ด้านในยังคงมีหินงอกหินย้อยอยู่สวยงามมากๆ เป็นหนึ่งในที่เที่ยวตรังแบบ Unseen เพราะว่าคุณจะต้องนั่งเรือท้องแบนเข้าไปชมบรรยากาศภายในถ้ำนี้ ระยะทางทั้งหมดก็ประมาณ 800 เมตร ซึ่งถือว่าไม่น้อย แต่การที่จะเข้าไปเที่ยวยังถ้ำเลกอบ ก็จะต้องใช้ฝีพายนำทาง พายเรือเข้าไปด้านใน
ด้วยความที่กระแสน้ำนั้นไหลผ่านตลอดเวลา จึงทำให้สามารถพายเรือเข้าไปได้โดยไม่ติดแต่อย่างใด เวลาที่เรือไหลเข้าไป ผู้เข้าชมทั้งหมดจะต้องนอนราบไปกับพื้นเรือ เพราะไม่เช่นนั้นหัวก็จะติดกับถ้ำนั่นเอง ราคาเรือก็ไม่แพงมาก ประมาณ 300 บาทต่อหนึ่งลำ โดยระยะเวลาชมถ้ำทั้งหมด จะอยู่ที่ประมาณ 30 นาที หรือว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไปแล้วแต่ หากใครที่จะมาเที่ยวชมถ้ำเลเขากอบ อยากจะให้เช็คสภาพอากาศ ยิ่งเป็นช่วงหน้าฝน หรือช่วงไหนที่ฝนตกชุก แล้วระดับน้ำขึ้นสูงก็ไม่อาจที่จะนำเรือเข้าไปได้
วังเทพทาโร (Dragon Tree Sculpture Garden)
ถัดจากถ้ำเลเขากอบไปได้ไม่ไกล ก็มีอีกหนึ่งที่เที่ยวตรังที่อยู่ใกล้กัน นั่นก็คือวังเทพทาโร เป็นแหล่งรวมงานศิลปะที่ทำจากไม้ทั้งหมด โดยนำรากไม้ และเศษไม้มาประดิษฐ์เป็นรูปร่างต่างๆ บนพื้นที่มากกว่า 25 ไร่ด้วยกัน ด้วยความที่เจ้าของที่เที่ยวตรังนี้ คือนายจรูญ แก้วละเอียด ได้นำเอารากไม้เทพทาโรมาสร้างสรรค์ขึ้นเป็นผลงาน ที่เที่ยวตรังแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าวังเทพทาโรนั่นเอง นอกเหนือจากผลงานศิลปะจากรากไม้อันสวยงามแล้วนั้น ยังมีผลิตภัณฑ์ OTOP ขายอีกด้วย ถึงแม้จะเป็นจุดเช็คอินตรัง ที่เราแวะไม่นาน แต่บอกเลยว่าใครชื่นชอบงานศิลปะ ไม่อยากให้พลาดที่จะแวะมาเยือน
วัดเขาพระยอด (Wat Khao Phra Yod)
ที่เที่ยวตรังสำหรับวันเดย์ทริปแห่งสุดท้ายของเราในวันนี้ ขับรถมาต่อจากวังเทพทาโรได้ไม่นาน ก็มาถึงวัดเขาพระยอด เป็นที่เที่ยวตรังที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยมา เป็น 1 ในเขาที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดของไทยกันเลยทีเดียว โดยเขาพระยอดนี้ ได้ตั้งอยู่ในอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง โดดเด่นด้วยทำเลที่ตั้ง เป็นวัดซึ่งตั้งอยู่บนภูเขา ทำให้สามารถมองเห็นวิวสวยของตรังได้โดยรอบ ด้านบนเขาพระยอด ก็คือสถานที่เอาไว้ปฎิบัติธรรม ที่เพิ่งสร้างใหม่ขึ้นมาเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2545 เห็นจะได้
ขอขอบคุณรูปภาพจาก: เว็บไซต์รีวิวตรัง
ระหว่างทางการเดินขึ้นไปด้านบนของวัดเขาพระยอด ก็จะต้องเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆ พอขึ้นไปถึงด้านบนแล้วนั้น ก็จะเห็นวิวสวยๆ โดยรอบได้ถึง 360 องศากันเลยทีเดียว อีกทั้งด้านบนยังมีเจดีย์บัวเงิน บัวทอง อันเป็นที่เคารพ และสักการะของนักท่องเที่ยวทั่วไปด้วย ถือว่าเป็นการปิดวันเดย์ทริปในตรังที่งดงาม ด้วยบรรยากาศ และวิวทิวทัศน์ของตรังอันสวยงามที่วัดเขาพระยอดนี้
ถนนคนเดินตรัง
หลังจากที่กลับมาพักเหนื่อยที่โรงแรมเสร็จเรียบร้อย เป้าหมายต่อไปของเราก็คือถนนคนเดินตรัง เป็นถนนคนเดินที่มีความคึกคัก คลาคร่ำไปด้วยชาวเมืองตรัง และก็นักท่องเที่ยว ซึ่งถนนคนเดินตรังนี้ได้ตั้งอยู่ด้านหน้าบริเวณสถานีรถไฟของจังหวัดตรัง เปิดมาต่อเนื่องยาวนานหลายปี บริเวณถนนคนเดินจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และของให้เลือกซื้อ หรือช้อปปิ้งมากมายไปหมด แต่ว่าใครอยากจะมาเดินเล่น ซื้อของที่ถนนคนเดินตรัง ก็ให้วางแพลนให้ดี เพราะว่าเปิดเฉพาะแค่วันศุกร์ - อาทิตย์เท่านั้น ตั้งแต่เวลาห้าโมงเย็น ไปจนถึงสี่ทุ่ม ร้านค้าก็จะเริ่มเก็บแผง
วันที่สาม: ไปเที่ยวเกาะลิบงแบบเช้าไปเย็นกลับ
ก่อนที่จะบินกลับกรุงเทพฯ ภายในวันนี้เราได้มาเที่ยวเกาะลิบงกันแบบไปเช้า-เย็นกลับ หรือว่าถ้าใครมีเวลา แล้วไม่รีบร้อนอะไร แนะนำให้มาพักค้างสักคืนหนึ่งที่เกาะลิบงก็ได้นะ เพราะว่าบนเกาะลิบงก็มีที่พักเช่นเดียวกัน ซึ่งอันที่จริงที่ตรังก็มีเกาะมากมาย แต่อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เราเลือกที่จะมาเที่ยวที่เกาะลิบง ก็เพราะรู้มาว่าที่เกาะลิบงนั้นมีพะยูน คนส่วนใหญ่ที่อยากมาดูพะยูนที่ตรัง ก็มักจะมุ่งตรงมาเที่ยวยังเกาะลิบงนี้
ข้อดีของเกาะลิบง ไม่ใช่แค่เพราะทะเลสวยเท่านั้น แต่โดยรอบนี้ก็ยังเป็นแหล่งดำน้ำยอดฮิต ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของปะการัง และโลกใต้ทะเลอยู่ค่อนข้างมาก แถมยังเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของตรัง อยู่ในอำเภอกันตัง สามารถขับรถมาได้ไม่ไกลมากนักจากตรัง ดังนั้นก่อนกลับเราเลยตัดสินใจมาเที่ยวเกาะลิบง ดูความงามของธรรมชาติ แต่สำหรับพะยูนนั้น บอกก่อนว่าไม่ได้คาดหวังอะไร เพราะการจะไปชมพะยูนในจุดชมพะยูน จะต้องดูเวลาน้ำขึ้นลงด้วย ไม่ใช่ว่าเดินไปแล้วจะเจอได้ทุกครั้ง ซึ่งการที่จะขึ้นไปบนจุดชมพะยูนั้น จะต้องไต่บันไดขึ้นไป เรียกจุดชมวิวนี้ว่า “เขาบาตู”
การที่จะชมพะยูนไม่ใช่การนั่งเรือออกไป หรือว่าการดำน้ำไป เพราะจะถือว่าเป็นการรบกวนพะยูนเหล่านั้น ซึ่งจะต้องขึ้นไปที่จุดชมวิวแห่งนี้ จะเป็นผาหิน เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวมาเฝ้าดูพะยูน เนื่องจากพะยูนถือว่าเป็นสัตว์คุ้มครอง และเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่าย การมาชมพะยูน จำเป็นจะต้องมาในช่วงที่น้ำขึ้น เพราะว่าทะเลบริเวณนี้มีหญ้าทะเลจำนวนมาก พะยูนจะว่ายน้ำมากินหญ้าเหล่านี้
ความมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งของที่เกาะลิบง ก็คือการมีบ่อน้ำจืดตั้งอยู่กลางทะเลเลย เป็นบ่อที่ตอนน้ำขึ้น น้ำด้านในจะมีความเค็มมาก แต่เวลาที่น้ำลงไปแล้ว บ่อก็จะกลายมาเป็นน้ำจืด ที่สามารถดื่มกินได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวบนเกาะลิบง หลังจากที่เที่ยวเกาะลิบงเสร็จ ก็หาอะไรกิน ส่วนมากบนเกาะลิบงจะเป็นอาหารทะเล จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับไปที่สนามบินตรัง ถือว่าเป็นการจบทริปตรังในครั้งนี้ ที่เชื่อว่า 3 วันนี้จะอัดแน่นไปด้วยที่เที่ยวตรังอันน่าสนใจ หากใครที่สนใจอยากมา Road Trip ก็สามารถจองรถเช่าตรังกับ Traveloka ได้โดยตรงเลย อยากชวนทุกคนออกไปเที่ยวไทย ไปผ่อนคลายหนีความวุ่นวาย กลับสู่อ้อมกอดของธรรมชาติกันเถอะ