เคยได้ยินชื่อทะเลบัวแดงแห่งเมืองอุดรธานีมาก็นาน แต่ยังไม่เคยได้ไปเห็นด้วยตาซักที
จนถึงวันนี้ ที่ได้ยินข้อมูลมาว่า CNN เค้าจัดให้ที่นี่ติดอยู่ในโผ 15 ทะเลสาบสุดอัศจรรย์ของโลก!
แถมเป็นที่เดียวในเมืองไทยอีก
แล้วเมื่อได้รู้ข้อมูลแบบนี้ก็มีหรือที่จะปล่อยผ่านได้ ฉันจึงนัดแนะเพื่อนร่วมทางผู้รู้ใจ
กำหนดวันเวลาที่ลงตัวกันจนได้ ต่อไปก็คือเรื่องของการวางแผนเดินทาง
แน่นอนว่าฉันมาหาสอยตั๋วเครื่องบินราคาดีที่เว็บไซต์คู่กาย
เวลาอยากไปเปิดโลกท่องเที่ยว
อย่าง Traveloka เพราะว่าเว็บนี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังกับโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบิน
ราคาดีตามที่ต้องการ แถมยังจองง่ายไม่ยุ่งยากวุ่นวาย
ให้ต้องคิดค่าโน่นนี่เพิ่มเติมจนงง ... อ่ะ
เรียบร้อยแล้วทีนี้ก็ได้เวลาออกเดินทางกันเลย
จองตั๋วเครื่องบินไปอุดร กับ Traveloka
** มา – เดอ – บัว รีสอร์ทริมทะเลบัวที่มีทั้งร้านอาหารและที่พักให้บริการ เดินมาไม่กี่ก้าวก็ลงเรือได้เลย
ฉันเลือกเวลาเดินทางมาในช่วงต้นเดือนธันวาคม
เพราะเป็นฤดูกาลที่ดอกบัวแดงในทะเลสาบที่อำเภอหนองหานกุมภวาปีแห่งนี้เริ่มบานสะพรั่ง
ดอกบัวที่นี่จะบานรับอากาศหนาวในช่วงเดือนธันวาคมถึงกุมภาพันธ์
หรือถ้าปีไหนหนาวยาวนานกว่านั้นก็ถือเป็นการต่ออายุบัวในนี้ไปได้อีกหน่อยละ
ลงเครื่องจากสนามบินอุดรธานี เราก็เลือกพุ่งตรงมานอนที่รีสอร์ทริมทะเลบัวแดง นามว่า มา-เดอ-บัว
เก๋มั้ยล่ะ อุตส่าห์ตั้งให้ภาษาอีสานบ้านเฮาไปพ้องเสียง
จนฟังคล้ายสำเนียงของชาวฝรั่งเศสเค้าได้ เริ่ดดดดดด
** ท่าเรือบ้านเดียมในยามสายของวัน เรือรอให้บริการเข้าคิวกันเป็นระเบียบเชียว
ภาพตัดฉับวาร์ปมาที่เช้ามืดวันรุ่งขึ้น เพราะเราลงความเห็นว่าไหนๆ อุตส่าห์มาแล้วทั้งที
ก็อยากมีโอกาสได้เห็นแสงแรกของวันกันกลางทะเลบัว
ฉันและเพื่อนจึงออกมาลงเรือริมทะเลสาบกันตั้งแต่ฟ้ายังมืด
เพราะเรือเที่ยวแรกจะเริ่มให้บริการในเวลาตีห้าครึ่ง!!
ซึ่งข้อดีของการมานอนที่รีสอร์ทนี้คือตื่นแล้วล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก็เดินมาที่ท่าเรือได้เลย
อ้อ ... ลืมบอกว่าเราเลือกมาลงเรือที่ท่าบ้านเดียมนะ
เพราะแม้การชมทะเลบัวแดงสามารถลงเรือได้จากหลายท่า หลายหมู่บ้านรอบทะเลสาบนี้ก็จริง
แต่ว่ากันว่าที่ท่านี้มีการจัดการและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายที่ไฮโซที่สุด
จึงง่ายต่อการเดินลงเรือไปโดยไม่ลื่นไถลลงทะเลสาบไปเสียก่อน
ในส่วนของเรือก็มีให้เลือกสองรูปแบบ
ทั้งแบบที่เป็นเรือหางยาวโอเพ่นแอร์รับลมกันเต็มเหนี่ยว
หรือถ้ากลัวเจอแดดก็มีเรือแบบติดหลังคาติดผ้าม่านให้อารมณ์เป็นฮองเฮาล่องเรือสำราญเพลินอุรา
ส่วนเราก็แน่นอนว่าขอเป็นแบบเสพธรรมชาติได้เต็มเหนี่ยว
ราคาค่าเรือก็เริ่มต้นที่คนละ 100 บาท แล้วแต่เวลาและประเภทเรือที่จะเลือกนั่งชม
เลือกเรือได้แล้วก็ไปค่ะ สตาร์ทเครื่อง!
** แสงแรกยามเช้า กับอากาศดีๆ บนเรือ มุ่งหน้าสู่จุดดูทะเลบัวแดง
ทะเลสาบแห่งนี้มีความกว้างกว่าหมื่นไร่ ในช่วงที่ฉันมา
บัวแดงในทะเลเพิ่งบานได้แค่ประมาณครึ่งหนึ่งของพื้นที่ทั้งหมด
แต่ก็บอกได้เลยว่าแค่นี้ก็สุดลูกหูลูกตา พี่คนขับพาฉันนั่งเรือออกมากว่า 7 กิโลเมตรจากริมฝั่ง
ระหว่างทางแสงสว่างริมขอบฟ้าก็ค่อยๆ ไล่เฉดสีขึ้นมาให้เห็นเป็นริ้วสวย
ในขณะที่ฟากหนึ่งท้องฟ้ากำลังไล่โทนน้ำเงิน แดง ส้ม เหลือง ตามอัตราการขึ้นมาของพระอาทิตย์
อีกฟากที่ห่างกันแค่หันหน้า ฉันก็เจอเข้ากับพระจันทร์ที่ยังคงลอยละล่องอยู่บนท้องฟ้า
เออ ประหลาดดีที่ได้เห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่พร้อมกันบนฟ้าเดียว!
** ทะเลบัวแดงภายใต้แสงจันทร์ ยามฟ้าเริ่มสาง
** สว่างขึ้นอีกนิด แต่พระจันทร์ก็ยังอยู่นะ
ทันทีที่ฟ้าเริ่มสาง ภาพทะเลบัวสีชมพูปนแดงละลานตาตรงหน้า
ก็ทำให้ฉันอึ้ง ทึ่ง และว้าว คือสารภาพตรงๆ ว่าฉันไม่ได้คาดไว้หรอกว่ามันจะสวยขนาดนี้
ทุกระยะที่สายตามองเห็นเต็มไปด้วยบัวบานสะพรั่ง
ยิ่งได้อากาศตอนเช้าที่แสงยังเป็นสีทองอ่อนๆ บวกกับลมเย็นๆ ของช่วงต้นฤดูหนาวเข้าไป
นี่คือสวรรค์ชัดๆ !! ... พี่คนขับเรือเล่าให้ฟังว่า เดิมทีที่นี่ไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอะไรกับใครเค้าหรอก
เป็นแค่แหล่งทำมาหากินเก็บบัว จับปลา ของชาวบ้านในละแวกนี้เท่านั้น
แต่ทันทีที่มีชาวต่างชาติผ่านมาเห็นเข้า ความว้าวจึงบังเกิด!
แล้วที่นี่ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสร้างชื่อสร้างรายได้ให้กับชาวบ้านละแวกนี้มาตั้งแต่วันนั้น …
ทุกวันนี้บัวในทะเลสาบได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดี
จนมีการขยายอาณาจักรบัวแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีที่ผ่านมา
โดยหากพ้นฤดูกาลของบัวแดงไปแล้ว บัวหลวงจะโผล่ขึ้นมาแทนที่
ใครมาไม่ทันหนาวนี้ จะลองมาดูบัวหลวงให้ได้ภาพไม่ซ้ำใครกันก่อนก็ได้เลยนะ
พี่คนขับเค้าบอกฉันว่ามาได้ทั้งปี
** พี่คนขับเรือ ผู้นำทางเราแหวกดงทะเลบัว พร้อมคำบรรยายประวัติและที่มาของทะเลบัวแดง
** บัวแดงอาบแสงสีทอง
** เต็มไปด้วยทุ่งดอกบัวแดง ที่แน่นขนัดสุดสายตาจริงๆ
** เพื่อนร่วมทางในการชมทะเลบัวแดงยามเช้ามีให้เห็นอยู่บ้าง ในระดับสบายๆ ไม่แน่นเอี้ยด
ฉันใช้เวลาชมความอเมซิ่งไทยแลนด์ที่ CNN
เค้าแขวนป้ายความน่าตื่นตาในระดับโลกเอาไว้ราวชั่วโมงกว่า
จากนั้นจึงขึ้นฝั่งมาเก็บข้าวของเตรียมไปส่องเมืองอุดรในมุมอื่นบ้าง
ก่อนเดินทางกลับมายังกรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร
แล้วก็ได้พบความรู้ใหม่อีกอย่างว่าที่อุดรก็มีบ้านของท่านอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์
วีรบุรุษคนสำคัญของประเทศเวียดนามกับเค้าด้วยแฮะ
ฉันเคยไปเยือนบ้านลุงโฮมาแล้วที่นครพนม และคิดว่านั่นคือบ้านหลังเดียวที่มีอยู่ในเมืองไทย
ปรากฏว่าไม่ใช่เลย เพราะก่อนที่ลุงโฮจะไปอยู่ที่นครพนม
ท่านเคยมารวบรวมกำลังพลคนเวียดนามที่ข้ามมาอยู่ในไทยจากจังหวัดอุดรไปก่อนแล้วละ
แล้วหลังจากเตรียมการทุกอย่างได้ระยะหนึ่ง
ลุงโฮจึงเคลื่อนย้ายไปนครพนมและข้ามไปกู้ชาติที่ประเทศเวียดนามจนสำเร็จเสร็จสรรพ
ได้เอกราชคืนมาจากฝรั่งเศสเรียบร้อยโรงเรียนลุง
** อาคารหลักในแหล่งประวัติศาสตร์โฮจิมินห์ ในจังหวัดอุดรธานี
** รูปจำลองของลุงโฮ ที่ยังมีคนเวียดนามแวะเวียนมากราบไหว้เดือนละหลายพันคน!
** บ้านลุงโฮ หลังนี้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบเดิมจากคำบอกเล่าของผู้คนที่อยู่ร่วมในยุคนั้น
** ห้องนอนของลุงโฮ เล็กๆ เรียบง่าย
** ด้านในบ้านแบ่งเป็นโต๊ะเรียนของนักเรียนที่ลุงโฮสอนให้หัดอ่านเขียน ส่วนแผงไม้ยกพื้นด้านหลังคือที่นอนของเหล่าผู้ช่วยลุงโฮ
** หมอนหนุนหัวของคนสมัยก่อน
** นิทรรศการบนชั้นสองของอาคารหลัก แสดงเรื่องราว ข้าวชอง และประวัติของลุงโฮ และคนเวียดนามในเมืองอุดรฯ
อีกหนึ่งที่ที่ต้องแวะมายามมาเยือนเมืองอุดรธานี
นั่นคือศาลเจ้าปู่ – ย่า และศูนย์วัฒนธรรมไทย – จีน จังหวัดอุดรธานี
อันเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนอุดรใช้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ฉันเดินดูนั่นนี่ที่ศูนย์วัฒนธรรมไทย – จีน อยู่ซักพัก
ได้เห็นต้นเครามังกรที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าทางเข้า
ซึ่งเจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าตอนขนใส่เรือมาจากเมืองจีนน่ะ
ทั้งประเทศไทยมีอยู่แค่ 3 ต้น! ซึ่ง 2 ใน 3 ต้นอยู่ที่นี่
ส่วนอีกต้นหนึ่งน่ะอยู่ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา
อ้อ ... เดินไปเดินมายังได้เจอเข้ากับห้องฉายหนัง 3 มิติ
ที่เล่าถึงที่มาและความศรัทธาที่ชาวอุดรมีต่อศาลเจ้าปู่ – ย่า แห่งนี้ด้วยนะ
ดังนั้น จะมาคิดว่าเมืองอุดรฯ เค้าเชยไม่ได้นะคะคุณ!
** ทางเข้าด้านหน้าของศูนย์วัฒนธรรมไทย – จีน อุดรธานี
** โฉมหน้าต้นเครามังกร
** พื้นหินด้านใน ที่เจ้าหน้าที่บอกว่าใช้วิธีเรียงหินเป็นลายด้วยกรรมวิธีเดียวกับพื้นในพระราชวังต้องห้ามที่เมืองจีน
** หนึ่งมุมพักผ่อนด้านในที่เราชอบ
** ห้องฉายหนังสามมิติบนอาคารชั้นสอง
** แบบจำลองขบวนแห่ประจำปีของศาลเจ้าปู่ – ย่า
** งานปูนปั้นด้านใน บอกเรื่องเล่าประวัติที่มาของการศึกษาจากปรมาจารย์ขงจื๊อ
** ร้านชาด้านนอก ที่ถือว่ารวมสารพัดชาชื่อดังเอาไว้ครบที่สุดในจังหวัดอุดรธานี
** ร้านให้เช่าชุดถ่ายรูป ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 50 บาท
ความโชคดีอีกอย่างของฉัน คือการได้เดินทางมาตรงช่วงกับงานเทศกาลโคมไฟและการแสดงงิ้ว
ที่ศาลเจ้าปู่ – ย่า ซึ่งทุกปีจะมีการนำรูปเคารพออกมาแห่แหน
ทำพิธีให้ชาวเมืองได้สักการะกันในวันที่ 1, 5 และ 10 ธันวาคม
ซึ่งในช่วงสิบวันนี้เอง จะมีการแสดงงิ้วให้ดูกันฟรีๆ สิบคืน
แถมด้วยงานเทศกาลโคมไฟซึ่งจะมีการโชว์สกิลการสร้างโคมไฟขนาดใหญ่หลากหลายรูปแบบ
ติดตั้งประดับประดาให้ได้เดินดูกันอยู่หลายชิ้นงาน
เอาจริงๆ ฉันไม่เคยคิดเลยนะว่าเมืองไทยก็มีงานแบบนี้กับเค้าด้วย!
สวยเชียวละ ขอให้มาดูด้วยตาตัวเองกันเถอะ!!
** ด้านหน้าศาลเจ้าปู่ – ย่า
** หน้าโรงงิ้ว นั่งดูกลางบรรยากาศหน้าหนาวคือดีมากกกก
** บรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ศาลปู่ – ย่า
** แสดงกันยันกลางบึงน้ำ!
ฉันมีเวลามาทริปนี้แค่เพียงสองวันหนึ่งคืน
เพราะเดิมทีไม่รู้จริงๆ ว่าเมืองนี้จะมีอะไรให้ดูอีกบ้างนอกจากทะเลบัวแดง
แต่ปรากฏว่าเวลาแค่นี้เที่ยวได้ไม่พอแฮะ
ยังมีอีกหลายที่ที่น่าสนใจแต่เวลาของฉันมีไม่พอ
เอาเป็นว่าฉันขอปักหมุดเมืองอุดรฯ ไว้เป็นจุดหมายในการเดินทางอีกหนึ่งที่
ที่คิดว่าจะกลับมาเยือนเมื่อมีเวลา
เพราะเมื่อได้มาก็ติดใจและพบว่าเป็นอีกที่ที่อเมซิ่งกว่าที่คาดไว้จริงๆ
** ขอลากันไปด้วย รูปช่อดอกมะม่วงหน้าหนาวกับแบ็คกราวนด์เป็นฟ้าใสๆ สวยจนอดใจไม่ไหว ต้องแชะมาซักรูป!
ติดตามผลงานต่างๆ ได้ที่ :https://www.facebook.com/auntietour/