มาแล้วจ้าาาา ลมหนาวมาแล้ววว ปลายปีแบบนี้อะไรจะดีกว่าการขึ้นเหนือไปนอนกอดธรรมชาติสัมผัสอากาศเย็นสบายกัน แล้วอากาศดีๆ แบบนี้ จะให้วนเที่ยวอยู่แค่ในตัวเมืองที่มีรถรับจ้างผ่านไปมาก็คงน่าเสียดาย เราเลยอยากชวนมาขับรถออกนอกเมืองเสพธรรมชาติกันให้จุกๆ ไปเลยจ้า กับเส้นทางลำปาง - เชียงใหม่ สองจังหวัดที่นอกจากจะอยู่ใกล้กันแล้ว ยังมีสนามบินซัพพอร์ตทั้งสองแห่งเลยจ้ะ ไป - มา คือสะดวกเว่อร์ ลงเครื่องที่นึง ขึ้นเครื่องอีกที่นึง ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา ไม่เสียเวลาแถมยังเที่ยวได้แบบคุ้มๆ เลยละ กับทริป 4 วัน 3 คืน เที่ยวแบบชิลๆ ฟีลสโลว์ไลฟ์ ใครอ่านแล้วตรงใจก็จัดตามไปเลยจ้า ไม่ว่ากัน!

ทริปนี้เราเลือกจองตั๋วเครื่องบินกับ Traveloka เพราะนอกจากจะมีตั๋วราคาโปรโมชั่นมาให้ไม่ขาดแล้วเนี่ย ยังมี Feature ใหม่ให้กดเทียบราคาตั๋วโปรโมชั่นของแต่ละสายการบินได้อีก! ทั้งประหยัดทั้งสะดวกแบบนี้ใครสนใจ ก่อนไปเที่ยวเชียงใหม่เราเอาวิธีใช้มาให้ดูตรงนี้แล้ว #Travelokaเทียบแล้วเที่ยวเลย

สตาร์ททริปด้วยการลงเครื่องที่เมืองรถม้าลำปาง แล้วลุยเช็คอินแลนด์มาร์คของเมืองนี้กันแบบชิลล์ๆ เลยดีกว่า เริ่มจากการขับรถออกไปนอกเมืองชั่วโมงกว่าๆ มุ่งหน้าไปยังอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนกันก่อนเลย นอกจากจะเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของลำปางแล้วนะ ที่นี่ยังเป็นพิกัดที่ชิลล์เว่อร์ ใครชอบอากาศสดชื่นเย็นสบาย ต้องไปลองเดินในเส้นทางศึกษาธรรมชาติของน้ำตกแจ้ซ้อนดู แต่ถ้าใครเมื่อยจากการนั่งเครื่องหรือนั่งรถมา พุ่งตรงไปหาบ่อน้ำร้อนไว้นอนแช่กันเลยจ้า ไม่ว่าจะมุมไหนก็ฟินหมดอ่ะ ดี๊ดี

แช่น้ำร้อนกันให้สบาย ก็ได้เวลาขับรถกลับเข้ามาชิลล์ในตัวเมืองกันแล้วละ อีกหนึ่งแห่งที่ต้องปักหมุดเมื่อมาถึงเมืองรถม้าแห่งนี้ ก็คงหนีไม่พ้นพระธาตุลำปางหลวง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่คู่เมืองลำปางมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี องค์เจดีย์ของที่นี่นั้นสวยแปลกตาด้วยศิลปะล้านนาประดับตกแต่งด้วยแผ่นทองเหลืองที่เรียกว่าทองจังโก เชื่อกันว่าด้านในมีพระเกศาขององค์พระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ ด้านในวัดกว้างขวางและมีมุมต่างๆ ที่น่าสนใจหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือพระวิหารที่ด้านในสามารถชมเงาขององค์พระธาตุแบบกลับหัว ถือเป็นหนึ่งจุดอันซีนที่ไม่ควรพลาดเลยละ แล้ววัดนี้ยังเป็นวัดประจำปีของคนเกิดนักษัตรปีฉลูด้วยนะ ถ้ามาคือต้องแวะแล้วอ่ะ พูดเลย

พอเริ่มเย็น อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นใช่ม้า แล้วอากาศแบบนี้นะ บอกเลยว่าการได้นั่งซดข้าวต้มร้อนๆ พร้อมกับข้าวอร่อยๆ คือความฟินแบบสุดๆ และถ้าใจตรงกัน อยากลองชวนให้แวะไปเช็คอินที่ร้านข้าวต้มบาทเดียว ร้านนี้เป็นร้านดังของเมืองลำปาง ที่นอกจากจะมีเมนูอาหารให้ออเดอร์กันแบบหลากหลายแล้ว ข้าวต้มร้านนี้ยังขายแค่ถ้วยละบาทเดียวเองนะ ถูกจนต้องยกมือทาบอกเลยจ้ะแม่!! ร้านนี้เป็นร้านข้าวต้มที่น่ารักเว่อร์ ตัวร้านเป็นบ้านเก่าสองชั้นริมถนน ด้านในก็ตกแต่งแบบวินเทจให้ฟีลย้อนยุคนิดๆ น่านั่งเชียวละ เค้าเปิดช่วงเย็นถึงค่ำนะ วางแพลนให้ดี

จากร้านข้าวต้ม เดินย่อยกันมาชิลล์ๆ ไม่กี่ร้อยเมตรก็จะเป็นกาดกองต้า ถนนคนเดินที่ถ้ามาลำปางแล้วไม่แวะมาก็คือพลาด! เริ่มจากความน่ารักของตัวอาคารบ้านเรือนในละแวกนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านเก่าที่ชาวบ้านร่วมใจกันอนุรักษ์เอาไว้ มีทั้งบ้านไม้สไตล์ล้านนา บ้านแบบพม่าและจีน ไปจนถึงบ้านแบบขนมปังขิงที่ให้กลิ่นอายแบบยุโรป แค่เดินดูสองข้างทางก็เพลินแล้วนะ นี่แถมมีร้านรวงขายสินค้าพื้นถิ่นและของที่ระลึกอีกเพียบ ยิ่งใครเป็นสายชิลล์ชอบนั่งคาเฟ่หรือร้านเก๋ๆ มาเดินที่นี่ก็รับรองว่าไม่มีพลาดจ้า ต้องมาแล้วละ ถ้าพลาดจะเสียดาย

เริ่มต้นวันที่สองด้วยการขับรถออกไปนอกเมือง เพื่อแวะเช็คอินอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสุด unseen ที่เราขอยกให้เป็นวัดสุดว้าวแห่งหนึ่งในเมืองไทย กับวัดเฉลิมพระเกียรติพระจอมเกล้าราชานุสรณ์ ซึ่งมีไฮไลท์เป็นการเดินท้าทายข้อเข่าขึ้นไปกราบองค์เจดีย์ที่สร้างไว้ตามหน้าผาบนยอดเขา บอกตรงๆ ว่าแค่เดินขึ้นไปก็ไม่ง่ายละนะ แต่นี่ด้วยพลังศรัทธา ยังมีคนอุตส่าห์ไปสร้างเจดีย์เอาไว้จนได้ แถมไหว้พระเสร็จแล้วยังชมวิวสวยๆ ของอำเภอแจ้ห่มกันแบบ 360 องศาต่อได้เลยด้วยนะ สวยทั้งวัด สวยทั้งวิว ชิลล์มากกก คอนเฟิร์ม

ก่อนจะขับรถมุ่งหน้าเข้าเชียงใหม่ ไหนๆ ก็ต้องผ่านอุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อนกันอยู่แล้ว เราเลยขอแวะไปนอนแช่ออนเซ็นเมืองไทยให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายจากการเดินขึ้นบันได 300 กว่าขั้นที่วัดเฉลิมพระเกียรติฯ กันอีกซักแม็ทช์ ถือเป็นการรีแล็กซ์ที่ดีม้ากกกกก ก่อนจะขับรถกันต่อยาวๆ เข้าไปเที่ยวเมืองเชียงใหม่กัน ยิ่งอากาศหนาวๆ นะ มานั่งๆ นอนๆ แช่น้ำร้อนชมวิวธรรมชาติที่นี่คือฟินเว่อร์ จะแช่บ่อกลางแจ้งก็ได้ หรืออยากแช่บ่อเดี่ยวส่วนตัวแบบเล็กหรือใหญ่เค้าก็มีให้เลือกหมดนะ นี่คือพิกัดที่ต้องมาเช็คอินเมื่อมาถึงลำปางจริงๆ

จากลำปาง เรามุ่งหน้ามายังตัวเมืองเชียงใหม่ เพราะวันรุ่งขึ้นจะได้ขับรถไปตระเวนเที่ยวกันแบบไม่ต้องรีบร้อนมาก เย็นๆ ในเชียงใหม่นี่คือเพลินเว่อร์ จะหาคาเฟ่นั่งเม้าท์เพลินๆ ก็เพียบ จะหาของอร่อยกินก็มีให้เลือกสารพัดเมนูแบบละลานตา สายช้อปอยากมองหาที่กระจายรายได้ก็มันมากกก พูดเลย ถ้ามาตรงกับวันเสาร์ก็ปักหมุดถนนคนเดินวัวลายไว้เลยจ้า แต่ถ้ามาวันอาทิตย์ก็ต้องห้ามพลาดถนนคนเดินท่าแพ มากี่ทีก็คือต้องแวะอ่ะ เพราะมันดี!

ออกสตาร์ทกันเช้าซักนิดนะ ถ้าอยากได้ฟีลแสงสวยๆ ส่องลอดแนวป่าสนเหมือนอยู่ในฝัน เพราะพิกัดแรกของวันนี้คือสวนสนบ่อแก้ว ป่าสนแสนสวยที่ให้อารมณ์เหมือนได้ไปเที่ยวเมืองนอกแบบสุดๆ เลยละ ยิ่งมาช่วงหน้าหนาวตอนเช้าๆ ที่อากาศเย็นๆ นะ ยิ่งฟินมากกก มาเดินหาจุดถ่ายรูปงามๆ ตอนที่ผู้คนยังไม่เยอะเท่าไหร่ รับรองว่าได้มุมแจ่มๆ เพียบเชียว

อีกหนึ่งพิกัดที่ขับรถจากสวนสนบ่อแก้วมาไม่ไกลเพราะอยู่ในเส้นทางใกล้กัน ก็คือการแวะมาเช็คอินที่อุทยานแห่งชาติออบหลวง ไฮไลท์ที่เรียกว่ามาที่นี่แล้วต้องได้เห็นก็คือวิวสวยแปลกตาของหน้าผาจูบกัน ซึ่งเป็นผาสูงสองฝั่งที่มีลักษณะเป็นช่องแคบที่มีสายน้ำไหลผ่าน ความน่ารักของที่นี่คือหน้าผาซึ่งยื่นเข้าหากันโดยมีส่วนที่แคบที่สุดอยู่ห่างกันเพียงแค่ 2 เมตร ใช้จินตนาการดีๆ ก็เหมือนคนยื่นหน้ามาจุ๊บกันอยู่แหละ เอ็นดู! แล้วถ้ามองไกลๆ ไม่สะใจ ที่นี่ก็มีสะพานแขวนข้ามหน้าผาให้ไปเดินวัดใจกันดูด้วยนะ มาแล้วก็อย่าพลาดล่ะ ต้องลอง!

อีกพิกัดลับแห่งใหม่ที่ถ่ายรูปได้ cute ม้ากกกก นั่นก็คือไร่เลม่อนและไร่ชาดอยอินทนนท์จ้า ผลผลิตที่นี่ปลูกบนความสูงกว่า 1,500 เมตร ใช้เป็นแบ็คกราวนด์ถ่ายรูปออกมาคือน่ารักม้ากกก ต้นไม้เขียวๆ ที่มีเลม่อนสีเหลืองสดกระจายอยู่เต็มต้น แถมอากาศก็เย็นสบาย ถ้าจังหวะดีอาจจะได้แชะรูปกับต้นเลม่อนแบบที่มีไอหมอกลอยบางๆ อยู่รอบด้านไปอี๊กกก ที่นี่ต้องจองล่วงหน้าผ่านเพจไร่ชาดอยอินทนนท์ก่อนเข้าไปนะ จองล่วงหน้าเนิ่นๆ ล่ะ เพราะช่วงนี้ที่นี่คือฮิตมากกก ที่เริ่ดคือใครอยากซื้อติดมือกลับบ้านเค้าก็ให้เราเลือกตัดกันเองได้ ชิลล์มาก ต้องมาแล้วจ้า ไม่งั้นตกเทรนด์เด้อ

ปิดท้ายวันแห่งการเสพธรรมชาติด้วยการไปเช็คอินที่บ้านป่าบงเปียง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งพิกัดยอดฮิตของเชียงใหม่ ถ้าจะให้ได้วิวแบบพีคๆ ก็ต้องยกให้ช่วงหน้าฝนยืนหนึ่งไปเลยจ้า เพราะเป็นช่วงที่นาขั้นบันไดของที่นี่จะสวยสุดๆ ไปเลยละ ยิ่งถ้าเป็นช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายนนะ จะเป็นช่วงที่ข้าวสุกออกรวงเป็นสีทองพรึ่บพรั่บ คือสวยม้ากกกก คืออยากให้มาาา

วันสุดท้ายในเชียงใหม่ เราขอเลือกใช้เวลาชิลล์ๆ ด้วยการทำตัวเป็นคาเฟ่ ฮอปเปอร์ ตระเวนกินตระเวนแชะกันตามร้านเก๋ๆ แบบ 3 ที่ 3 คาแรคเตอร์ไปเลยจ้า เรียกว่าเตรียมชุดมาแบบจัดหนักจัดเต็มกันได้เลยในวันนี้ ที่แรกที่เรามุ่งหน้าไปเช็คอินคือ Fernpresso at Lake ในสถาบันวิจัยเกษตรแม่เหียะ คาเฟ่ชิลล์ๆ ที่มีวิวบึงน้ำกว้าง ซึ่งด้านหลังมีแบ็คกราวนด์เป็นภูเขาเขียวขจี บอกเลยว่าใครชอบความสดชื่นของต้นไม้ต้องเลิฟร้านนี้แน่ๆ โดยรวมแล้วคือเก๋มาก ให้สามผ่านไปเลยจ้า

คาเฟ่ต่อมาที่เราแนะนำว่าเป็นอีกหนึ่ง The Must ซึ่งต้องปักหมุดเอาไว้ ก็คือ Hillsborough The English Country House Hotel & Leisure ซึ่งเรียกว่าเป็นอีกพิกัดมาแรงแซงทางโค้งในช่วงนี้ ด้วยบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในชนบทของอังกฤษยังไงยังงั้น ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่หน้าตาร้าน การตกแต่ง และสวนสวยรายรอบที่เหมือนฉุดให้เราหลุดวาร์ปข้ามทวีปไปอย่างแท้ทรู ดูดีมากในทุกมุมจ้า รับรองว่ามาที่นี่คือเพลิน!

ร้านสุดท้ายที่จะเอามาฝากกันในคราวนี้ ขอเปลี่ยนฟีลมาเอาใจสายชิลล์ที่มีความอาร์ตอยู่ในจริตกันดูบ้าง กับร้าน Thongma Studio คาเฟ่คูลๆ ที่ผันตัวเองมาจากการเป็นสตูดิโอและอาร์ต แกลเลอรี่ แทบทุกมุมของที่นี่จึงเต็มไปด้วยงานศิลปะ โดยเฉพาะงานปั้นเก๋ๆ เป็นส่วนใหญ่ สลับกับมุมต้นไม้เท่ๆ และการตกแต่งแบบมีสไตล์ มาแวะร้านนี้เมื่อไหร่ รับรองได้เลยว่าจัดรูปโปรไฟล์แจ่มๆ ได้ทุกมุม!

หวังว่า Road Trip ลำปาง - เชียงใหม่ ที่เราเอามาฝากกันคราวนี้จะถูกใจใครหลายคนนะ โดยเฉพาะสายชิลล์ไม่ชอบการเที่ยวแบบเช็คอินเน้นปริมาณน่ะ น่าจะแฮปปี้ เพราะแต่ละวันเราเน้นการเที่ยวแบบช้าๆ สบายๆ ให้มีเวลาดื่มด่ำในแต่ละพิกัดกันแบบเต็มที่ ใครรักแนวนี้จัดเลยจ้า หน้าหนาวมาแล้วน้า ต้องรีบกอบโกย!