เมืองเลยนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีอากาศหนาวที่สุดในประเทศไทย จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วงนี้อากาศที่เลยจะเริ่ดขนาดไหน! ใครกำลังชั่งใจอยู่ว่าถ้าไปแล้วจะเที่ยวไหนดี วันนี้เราจัดมาให้แล้วจ้า กับเส้นทางขับรถเที่ยวจากตัวเมืองเลยไปจบที่เชียงคาน ที่สำคัญคือจะพาไปส่องพิกัดที่น่ากางเต็นท์นอนแบบสุดๆ เลยละ อากาศหนาวๆ ตื่นเช้าบางวันก็มีทะเลหมอกให้ดูตรงหน้า ได้ใกล้ชิดธรรมชาติในงบแบบกระเป๋าไม่ฉีกด้วยนะ ใครอยากตามรอยรีบไปส่องตั๋วเครื่องบินเลยที่ Traveloka กันให้ไวจ้า ไม่งั้นลมหนาวหมดอดชิลล์จะมานั่งเสียดายเด้อออ
อ่างเก็บน้ำห้วยกระทิง คือพิกัดแรกของเราหลังออกจากสนามบินจ้า นอกจากจะได้มานั่งชมวิวอ่างเก็บน้ำกว้างที่รายล้อมด้วยภูเขาและป่าเขียวรอบด้านแล้ว ที่นี่ยังมีบริการล่องแพส่วนตัวให้เช่ากันแบบเหมาหลังพร้อมอาหารอีสานรสจี๊ดจ๊าดจัดจ้านมาบริการกันถึงในแพเลยละ อยากนั่งมุมไหนของอ่างเก็บน้ำก็แจ้งให้เค้าลากแพไปได้เลยนะ ทั้งชิลล์ ทั้ง New Normal แบบนี้คือเริ่ดมากจ้า จะนั่งกิน นอนกิน หรือกินไปเอาขาแช่น้ำไปก็ฟินสุดๆ เลยน้า ถ้าไม่อยากเช่าแพส่วนตัวเค้าก็มีแพริมน้ำให้นั่งอิ่มอร่อยกันได้นะ เด็ดจ้า มาเลย
เรียกความสดชื่น คืนความอิ่มให้ท้องไส้กันไปเรียบร้อย เราก็มุ่งหน้าต่อไปยัง อุทยานแห่งชาติภูเรือ ซึ่งเป็นหนึ่งในพิกัดกางเต็นท์ยอดนิยมแห่งหนึ่งของนักเดินทาง เพราะที่นี่คือหนึ่งในจุดซึ่งได้ชื่อว่าหนาวที่สุดในเมืองไทย นอกจากการได้มาเดินชมความสวยของพืชพรรณสารพัดชนิดแล้วนะ บนภูเรือยังมีลานไม้ดอกสีสันสดใส ช่วงเช้าที่อากาศพอดิบพอดีก็ยังมีทะเลหมอกให้ดูกันได้ เดินทางก็ง่ายแถมยังพักได้แบบสะดวกมากนะ เป็นพิกัดกางเต็นท์สำหรับคนที่ยังอยากได้ความสบายในการใช้ชีวิตอยู่จ้า แวะมาจัดกันได้เลย
จากภูเรือ เรามุ่งหน้าต่อมายังอำเภอนาแห้ว อีกหนึ่งพิกัดสวยของเมืองเลยที่อยากชวนให้ทุกคนแวะมา ที่นาแห้วมีทำเลน่ากางเต็นท์ให้เลือกกันแบบจุกๆ ไปเลยจ้า วันนี้เราเลยจะพาไปทำความรู้จักกัน เริ่มจากที่ ภูผาหนอง ซึ่งมีลานกางเต็นท์เปิดให้บริการ แถมเค้ายังให้เราสนุกกับการแค้มปิ้งแบบครบวงจรด้วยการทำอาหารกินเองกันได้ด้วยนะ จุดนี้เดินทางไม่ยากด้วยจ้า ใครชอบความชิลล์แบบไม่แออัดการเลือกปักหมุดมาพักแรมที่นี่น่าจะถูกใจ เริ่ดสุดๆ ตรงที่บนนี้มีจุดให้ชมทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกได้ แค่เดินจากเต็นท์ไปไม่กี่นาทีเท่านั้นด้วยนะ เป็นอีกพิกัดที่สายเต็นท์ต้องมาโดน
20 กิโลเมตรกว่าๆ จากภูผาหนอง ก็จะมาถึง อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย ที่นี่คือจุดกางเต็นท์ที่สูงที่สุดในภาคอีสานเลยจ้า จะกางกันที่ด้านล่างภูแบบชิลล์ๆ ก็ได้ แต่ถ้าจะไปที่ลานกางเต็นท์ด้านบนต้องเดินเท้าประมาณ 5 กิโลเมตรนะ เส้นทางเดินป่าของที่นี่จะมีทางชันนิดหน่อยในช่วงแรกพอได้อรรถรสในฟีลผจญภัย โดยมีจุดชมวิวที่เนิน 1408 ซึ่งเคยเป็นสนามรบที่หลายคนรู้จักในชื่อสมรภูมิร่มเกล้าเป็นจุดที่ชมพระอาทิตย์ขึ้นได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งในอุทยานฯ ถ้าจะกางเต็นท์ที่นี่ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนนะ วิวสวยแถมยังได้บุกป่าฝ่าดงหน่อยๆ จ้า สายไฮกิ้งน่าจะถูกใจเชียวละ
ภูหัวฮ่อม คืออีกหนึ่งจุดชมวิวที่อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย หลายเสียงคอนเฟิร์มว่านี่เป็นอีกจุดที่สามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและทะเลหมอกได้สวยที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทยเลยด้วยนะ การจะขึ้นมาที่นี่ต้องนั่งรถอีแต๊กของชาวบ้านมาประมาณหนึ่งชั่วโมงจ้า ถ้าไม่อยากตื่นมาขึ้นภูตั้งแต่เช้าก็เอาเต๊นท์มากางนอนที่ด้านบนกันได้เลยน้า ที่สำคัญคือจะมาเที่ยวที่อุทยานฯ ตอนนี้ ต้องจองคิวผ่านแอพ QueQ มาก่อนล่ะ จะได้ชิลล์แบบ New Normal กันไง
อีกหนึ่งภูที่ต้องอาศัยการขึ้นมาด้วยรถอีแต๊กก็คือ ภูค้อ ซึ่งต้องใช้เวลานั่งรถขึ้นภูกันประมาณ 1 ชั่วโมง ภูนี้เค้ามีทีเด็ดตรงที่ใช้เป็นพิกัดดูพระอาทิตย์ตกก็ได้ ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็ดี! แถมยังเอาเต็นท์มากางกันที่ด้านบนได้ด้วยนะ อยากได้ฟีลแค้มปิ้งแบบเต็มๆ ก็แบกอาหารและอุปกรณ์ขึ้นมาทำเองได้จ้า แต่ถ้าอยากชมวิวสบายๆ แบบไม่ต้องมานั่งกังวลกับการหาของกิน ใช้บริการอาหารจากชาวบ้านก็จะยิ่งฟินสุดๆ เลยละ ได้ดูวิวสวยๆ แถมยังช่วยกระจายรายได้ให้ชาวบ้านด้วยนะ สองเด้งเลยจ้า มาจัดเลย
จากภูค้อ จะมุ่งหน้าต่อไปยังเชียงคานกันเลยก็ยังได้ แต่เราอยากชวนให้อ้อมนิดนึงแล้วมาใช้เส้นทางผ่าน ภูเก้าง้อม กันดูจ้า ถนนนี้เชื่อมเส้นทางระหว่างอำเภอด่านซ้ายและนาแห้วนะ ความเด็ดก็คือว่านี่เป็นเส้นทางที่คนรักการขับรถน่าจะชอบใจ เพราะจะเรียกว่าเป็นถนนลอยฟ้าก็ยังได้ เนื่องจากระหว่างเส้นทางตรงสลับทางโค้งแบบโหดๆ ของถนนเส้นนี้ ในช่วงเช้าจะมีทะเลหมอกลอยอ้อยอิ่งเหนือป่าไม้สีเขียวสองข้างทางให้ชมกันแบบสุดปังเลยนะ แต่ยังไงก็ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่กันด้วยจ้า ทางโค้งเค้าโหดใช้ได้เลยละ อย่ามัวแต่ชมวิวเพลินเด้อ!
หลังจากชมทะเลหมอกในนาแห้วกันแบบจุกๆ จุใจ ก็ได้เวลามุ่งหน้าไปเชียงคานกันแล้วจ้า นอกจากที่พักบ้านไม้สไตล์ดั้งเดิมที่เราคุ้นตากันแล้ว เชียงคานก็ยังมีพิกัดให้กางเต็นท์กันได้หลายแห่งเลยนะ ถ้ายังอยากได้ฟีลใกล้ชิดธรรมชาติกันต่อก็จัดได้เลยจ้า เสร็จสรรพเรื่องที่พักแล้วก็อยากชวนให้ไปแวะกราบพระที่ วัดศรีคุณเมือง กันด้วยนะ เพราะนี่คือวัดเก่าแก่ที่อยู่คู่กับเมืองเชียงคานมาตั้งแต่ พ.ศ.2485 เพื่อจะได้เป็นสิริมงคลในการมาท่องเที่ยวพักผ่อนของเราคราวนี้ไง … ไหว้พระเสร็จก็ลองไปชิมของเด็ดอย่างแหนมคลุกแม่แห่วที่อยู่ในซอยข้างวัดกันด้วยน้า คอนเฟิร์มตรงนี้ว่าของเค้าแซ่บจริง!
มาเชียงคานทั้งที สิ่งที่พลาดไม่ได้ก็คือการไปเดินชิลล์ใน ถนนคนเดินเชียงคาน ซึ่งเป็นถนนริมโขงที่อัดแน่นไปด้วยร้านรวงของกินรสเด็ดแบบจุใจเลยละ จะเป็นอาหารคาว อาหารหวาน ผลไม้ เครื่องดื่ม ทั้งในสไตล์ท้องถิ่นและเมนูแบบอินเตอร์ก็มาเจอได้ที่ถนนนี้ละจ้า เยอะขนาดที่ว่ากินแค่ร้านละคำก็ทำให้จุกได้เมื่อเดินไปถึงปลายถนนเลยละ ของเด็ดที่พลาดไม่ได้ก็ต้องเป็นกุ้งจิ๋วเสียบไม้ปิ้งกรอบๆ ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของที่นี่เค้าเลยนะ ข้าวจี่ปิ้งร้อนๆ หอมๆ ของเค้าก็เริ่ดจ้า ไม่กินก็เหมือนมาไม่ถึงเชียงคานเลยเชียว
เราออกสตาร์ทวันต่อมากันตั้งแต่ก่อนตีห้า เพื่อขับรถมาดูทะเลหมอกกันที่ ภูทอก ซึ่งเป็นหนึ่งกิจกรรมยอดนิยมสำหรับคนที่มาเยือนเชียงคาน ใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองกันประมาณเกือบๆ 1 ชั่วโมงจ้า ขับรถมาจอดตีนภูแล้วนั่งรถรับ - ส่งของชาวบ้านต่อขึ้นไปกันน้า ด้านล่างมีอาหารและของที่ระลึกให้แวะช้อปกันแบบกรุบกริบด้วยละ แนะนำว่าควรไปถึงภูทอกกันก่อนหกโมงครึ่งน้า ช้ากว่านั้นอาจจะพลาดความสวยของแสงแรกและสายหมอกได้จ้ะ แล้วจะมาหาว่าไม่เตือนไม่ได้เด้อ
เสพความสวยมุมสูงกันจนจุใจแล้ว เราขอชวนให้ไปตะมุตะมิกันต่อที่ วัดพระพุทธบาทภูควายเงิน นะ ที่บอกว่าตะมุตะมิก็เพราะว่านอกจากจะได้มากราบสักการะรอยพระพุทธบาทจำลอง ณ วัดเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2300 แห่งนี้แล้วนะ บริเวณใกล้ๆ โบสถ์ยังมีสวนกระต่ายให้เราได้เข้าไปให้อาหารหรือแวะถ่ายรูปเล่นกันได้ด้วยจ้า ในสมัยก่อนเชื่อกันว่าคนที่จะมาถึงวัดนี้ต้องมีบุญจริงๆ เท่านั้นนะ เพราะการเดินทางค่อนข้างลำบากเลยเชียว แต่เดี๋ยวนี้ถนนหนทางดีแล้วจ้า ไม่มาแล้วจะเสียดาย
ก่อนกลับเข้าไปเก็บข้าวของจากที่พักในถนนริมโขงของเชียงคาน อีกพิกัดที่ไม่ควรพลาดกันก็คือ แก่งคุดคู้ หนึ่งแลนด์มาร์คของเชียงคานและเมืองเลยที่มาแล้วควรแวะเช็คอินกัน แก่งคุดคู้นั้นเป็นแก่งหินขนาดใหญ่ที่กั้นขวางแม่น้ำโขงเอาไว้ และช่วงเช้าก็คือช่วงที่จะเห็นความสวยของแก่งคุดคู้ได้ชัดเจนที่สุดจ้ะ แสงก็สวยกำลังดี แถมยังอาจจะมีหมอกบางๆ ในบางวัน ด้านหลังก็จะมองเห็นภูควายเงินเป็นแบ็คกราวนด์อยู่ลิบๆ ด้วยละ ถ้ายืนดูยังไม่สะใจ ลงเรือไปล่องแม่น้ำโขงดูวิวสวยๆ กันต่อก็ยังได้จ้า บริเวณใกล้ท่าเรือมีร้านรวงให้ช้อปปิ้งกันเพลินๆ ด้วยนะ อย่าลืมแวะเด้อ
พิกัดส่งท้ายที่เราใช้บอกลาเมืองเชียงคาน ก็คือการมาเช็คอินกันที่ สกายวอล์ค ภูคกงิ้ว แลนด์มาร์คที่ต้องกาดอกจันเอาไว้ว่าห้ามพลาด เพราะการมาเดินวัดใจกันบนทางเดินที่สูงจากพื้นราวๆ 80 เมตร หรือพอๆ กับตึก 30 ชั้นของที่นี่นั้น เราจะได้เห็นวิวทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวกันแบบเต็มๆ ตา ทั้งทิวเขา ผืนป่า และแม่น้ำโขงอันกว้างใหญ่ ทีเด็ดที่สุดก็ต้องยกให้กับทางเดินกระจกใสความยาว 100 เมตร ที่ทั้งสวยและเสียวในเวลาเดียวกันเชียวละ ใกล้ๆ สกายวอล์คยังมีองค์พระใหญ่ภูคกงิ้วความสูงกว่า 19 เมตรให้ไหว้เรียกขวัญและกำลังใจกันก่อนด้วยจ้า มาเชียงคานแล้วอย่าพลาดเชียว
ภูบ่อบิด คือพิกัดสุดท้ายที่อยากชวนให้แวะกันก่อนขึ้นเครื่องกลับที่สนามบินเลย ที่นี่เป็นจุดชมวิวซึ่งสามารถมาชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าและพระอาทิตย์ตกในช่วงเย็นเลยละ ด้วยความสูงประมาณ 600 เมตร ทำให้เราเห็นความสวยของเมืองเลยในมุมสูงที่มีทะเลภูเขาเรียงรายและผืนป่าสีเขียวขจีกันแบบจุใจเลยนะ ช่วงเช้าอาจจะมีโบนัสเป็นทะเลหมอกให้เห็นกันด้วยจ้า แต่เสียดายที่ช่วงนี้เค้าปิดปรับภูมิทัศน์อยู่น้า เราเลยขอหยิบรูปยุคก่อนปรับปรุงมาให้ดูเรียกน้ำย่อยกันก่อน ใครมีแพลนไปเลยล่วงหน้านานหน่อยลองเช็คดูช่วงใกล้ๆ เดินทางอีกที เผื่อว่าจะได้ไปประเดิมความงามยุคปรับปรุงใหม่ของที่นี่กันเป็นรายแรกๆ ไง!
ใครชอบอากาศหนาว ภูเขาสูง และธรรมชาติสวยๆ นะ การันตีให้เลยว่าจังหวัดนี้ไม่มีทางทำให้ผิดหวัง เพราะวิวเค้าสวยปังเกือบทุกพิกัดเชียวละ ไม่ว่าจะเป็นสายลุยหรือสายชิลล์ที่ไม่ชอบความลำบากมากนักก็มาเที่ยวกันได้ทั้งนั้นจ้า ใครเป็นสายกินบอกเลยว่าเมนูเมืองนี้เค้ามีเด็ดๆ ให้ชิมกันเพียบเลยนะ เดินทางก็ง่าย ผู้คนก็น่ารัก ปักหมุดเอาไว้เลยจ้าว่าต้องมาโดนกันซักทีเด้อ