พาไปเที่ยวจอร์เจียแบบ Road Trip ขับรถเที่ยวจอร์เจียกันให้มันไปเลย

Traveloka TH
13 Aug 2021 - 5 min read

ก่อนโควิดจะมาเยือนชาวโลก จอร์เจียคือหมุดหมายยอดฮิตแห่งใหม่สำหรับนักเดินทางชาวไทย เพราะนอกจากอยู่ได้เป็นปีโดยไม่ต้องขอวีซ่าแล้วนะ ที่นี่ยังเป็นพิกัดที่ให้บรรยากาศคลาสสิกในสไตล์ยุโรป แต่ใช้งบในการเดินทางแบบสบายๆ นอกจากอาคารบ้านเรือนสวยๆ แล้ว ก็ยังมีธรรมชาติให้เสพกันแบบแน่นๆ เต็มที่ไปเลยละ แถมยังเป็นประเทศที่เหมาะกับการขับรถเที่ยวมาก ใครเป็นสาย Road Trip ต้องจัดแล้วจ้า ถ้าสนใจลองมองหาตั๋วเครื่องบินไปจอร์เจียกันได้จาก Traveloka เลยนะ รับรองว่าราคาดี เพราะตอนนี้ Traveloka มี Promo Filter ที่ช่วยหาตั๋วโปรได้ภายในคลิกเดียว เที่ยวจอร์เจียคราวนี้งบไม่บานปลายอย่างแน่นอน

และก่อนจะบิน อย่าลืมเช็ตมาตรการสนามบินปลายทางที่นี่ก่อนนะ

Road Trip จอร์เจียแบบสุดมัน

จากเมืองหลวงอย่างทบิลิซี เราขอชวนซิ่งออกไปเช็คอินที่แลนด์มาร์คนอกเมืองกันก่อนดีกว่า ที่แรกคือ Ananuri Fortress ป้อมปราการเก่าแก่ริมแม่น้ำ Aragvi ที่สร้างขึ้นราวๆ ศตวรรษที่ 16 - 17 เพื่อใช้ในการหลบภัยจากสงคราม มีการสร้างหอคอยและโบสถ์เอาไว้ด้านในป้อมด้วยจ้า นอกจากจะได้มาเดินดูความสวยของสถาปัตยกรรมเก่าแก่อายุหลายร้อยปีแล้วนะ ป้อมนี้ยังมีวิวสวยๆ ของธรรมชาติให้ดูกันเป็นของแถมอีกด้วยจ้ะ อย่าลืมแวะมาเช็คอิน

พิกัดต่อมา เราขับรถมุ่งหน้าสู่เมือง Gori เมืองที่เชื่อว่าสายประวัติศาสตร์น่าจะถูกใจ เพราะนี่คือบ้านเกิดของ โจเซฟ สตาลิน อดีตผู้นำสหภาพโซเวียตในยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ที่แรกที่ต้องแวะก็คงต้องเป็น Stalin Museum พิพิธภัณฑ์ซึ่งรวบรวมเรื่องราวประวัติความเป็นมา ข้าวของเครื่องใช้ ตั้งแต่เฟอร์นิเจอร์ไปจนถึงเสื้อโค้ทตัวโปรดของเขาเลยเชียวละ ตัวพิพิธภัณฑ์สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1937 โน่นจ้า สายประวัติศาสตร์อย่าพลาดที่นี่ไปเชียว

พิกัดต่อไปคืออีกหนึ่งไฮไลท์ของจอร์เจีย นั่นคือเมืองถ้ำ Uplistsikhe ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่ในยุคก่อนคริสตกาล ด้วยการเจาะภูเขาหินให้กลายเป็นถ้ำ ประตู หน้าต่าง และห้องเพื่ออยู่อาศัย เมืองถ้ำแห่งนี้มีพื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร และเชื่อกันว่าในยุคที่รุ่งเรืองสุดๆ นั้นมีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่ถึงราวๆ 20,000 คนเลยทีเดียวนะ แน่นอนจ้าว่าที่นี่ต้องกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่มรดกโลกไปแล้วเรียบร้อยนะ และเป็นอีกพิกัดที่น่าปักหมุดแวะชมจริงๆ

Russian Georgian Friendship Monument คือจุดหมายต่อมาที่เราอยากพามาแวะกัน ที่นี่นั้นเป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัสเซียและจอร์เจียครบ 200 ปี โดยมีหน้าตาเก๋ๆ เป็นรูปคล้ายครึ่งวงกลมซึ่งสร้างด้วยหินและคอนกรีตเป็นหลัก ด้านในมีภาพวาดแสดงเรื่องราวระหว่างสองประเทศเอาไว้ และมีการนำกระเบื้องโมเสกมาใช้ตกแต่งเพิ่มสีสัน แต่ที่ขอบอกกันว่าเริ่ดก็คือทำเลที่ตั้งจ้า เพราะตรงนี้อยู่ริมหน้าผา และใช้เป็นจุดชมวิวอลังการ 360 องศาของ Devil’s Valley รอบตัวได้แบบจุใจ สวยเว่อร์วังแบบปังมาก อยากให้แวะมา

บอกเลยว่าหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้จอร์เจียกลายเป็นหนึ่งเป้าหมายในใจเรา ก็คือ Gergeti Trinity Church ซึ่งมีแบ็คกราวนด์เป็นเทือกเขาสุดเว่อร์วังแห่งนี้นี่ละ ตัวโบสถ์นั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 14 เป็นโบสถ์สวยในนิกายจอร์เจียนออร์โธด็อกซ์ซึ่งมีหน้าตาสวยงามขรึมขลังสร้างด้วยหินสไตล์โบราณ แต่ที่สำคัญคือทำเลที่ตั้งบนยอดเขาซึ่งมีแบ็คกราวนด์เป็นเทือกเขาคอเคซัสอันยิ่งใหญ่ ส่งให้โบสถ์นี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจแบบสุดๆ ไปเลยละ มาจอร์เจียต้องปักหมุดที่นี่ไว้เลยนะ บอกเลยว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ยังไงก็ต้องมาเช็คอินให้ได้เชียว

เราขอชวนมุ่งหน้าต่อมายังเมือง Mtskheta เพื่อตามหาโบสถ์ Svetitskhoveli Cathedral ซึ่งว่ากันว่านี่คือศูนย์กลางทางศาสนาที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในประเทศนี้เลยเชียวละ แล้วยังเป็นโบสถ์ที่ใหญ่อันดับสองของจอร์เจียอีกด้วย โบสถ์นี้มีอายุเกือบ 1,000 ปี และเชื่อกันว่าเป็นที่ฝังเสื้อคลุมที่พระเยซูทรงสวมก่อนถูกนำตัวไปตรึงกางเขน นี่จึงเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวคริสต์ทั้งหลายต่างก็มุ่งหน้ามาเยือนที่นี่กันอย่างไม่ขาดสายเลยนะ ด้านในโบสถ์มีภาพเขียนโบราณให้ชมกันด้วยละ ปักหมุดไว้จ้า ที่นี่ก็ไม่น่าพลาดเช่นกัน

Ushguli คือสถานที่ต่อมาซึ่งเราอยากชวนให้มุ่งหน้าไปปักหมุดกัน และเชื่อว่านี่คงเป็นพิกัดที่คนรักธรรมชาติต้องแฮปปี้มากแน่ๆ ละ เพราะเป็นชุมชนโบราณซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และยังเป็นหมู่บ้านที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 2,100 เมตร นี่จึงเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีประชากรทั้งหมดราวๆ 70 ครอบครัวเท่านั้น ที่นี่มีทั้งโรงเรียนและโบสถ์อยู่ในหมู่บ้านด้วยนะ บอกเลยว่าบรรยากาศดี๊ดี แถมหมู่บ้านนี้สวยทุกฤดูด้วยจ้า ต้องมาให้ได้เลย

ขับรถต่อมาเช็คอินกันกับอีกพิกัดที่บอกเลยว่าพลาดไม่ได้ เพราะ Katskhi Pillar แห่งนี้นั้นนับเป็นพิกัดสุด Unseen อีกแห่งในจอร์เจียเลยเชียวละ เพราะนี่คือโบสถ์เก่าแก่ที่บางคนเชื่อว่าเป็นโบสถ์คริสต์แห่งแรกในจอร์เจียด้วยจ้า เชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงราวศตวรรษที่ 7 โดยสร้างขึ้นบนแท่งหินสูง 40 เมตรซึ่งมีบันไดเล็กๆ ให้ปีนขึ้นลงกันแบบลุ้นๆ หน่อยละ ทุกวันนี้ที่นี่มีนักบวชอาศัยอยู่เพียงคนเดียวมา 20 ปีแล้วจ้า และแม้จะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงขึ้นไปนะ แต่บอกเลยว่าแค่ดูอยู่ข้างล่างก็เพลินมากแล้วจ้ะ เอาจริง

เชื่อว่านี่คือพิกัดลับที่น้อยคนนักจะรู้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอีกแห่งที่คนรักประวัติศาสตร์อาจจะอยากมาดูด้วยตา กับ The Cable Cars of Chiatura กระเช้าไฟฟ้าโบราณซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1954 ซึ่งมีสตาร์ลินเป็นผู้นำในยุคนั้น เพื่อใช้ในการลำเลียงคนและแร่ธาตุที่ขุดได้ไปยังโรงงานผลิต เนื่องจากเดิมทีบริเวณนี้เป็นเหมืองแร่แมงกานีสและแร่เหล็กนั่นเองจ้า ที่เริ่ดคือทุกวันนี้เค้ายังเปิดให้ลองขึ้นกระเช้าไฟฟ้านี้กันอยู่ด้วยนะ แต่เราว่าแค่ดูก็พอแล้วละ หรือถ้าใครกล้าก็มาลองดู

หลังจากตะลอนไปเช็คอินแลนด์มาร์คน่าสนใจที่อยู่นอกเมืองกันไปแบบจุกๆ แล้วนะ ก็พลาดไม่ได้ที่จะต้องกลับมาเช็คอินพิกัดเจ๋งๆ ในเมืองหลวงอย่าง Tbilisi ก่อนกลับกันดีกว่า เริ่มจาก Holy Trinity Cathedral of Tbilisi แลนด์มาร์คหลักที่เชื่อว่าอยู่ตรงไหนในเมืองนี้ก็จะมองเห็นได้อย่างไม่ยากเลยละ นี่คือโบสถ์หลักของจอร์เจียแถมเป็นเจ้าของสถิติโบสถ์ Eastern Orthodox ที่ใหญ่อันดับ 3 ของโลก และเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ มาจอร์เจียจะพลาดที่นี่ไม่ได้เลยจริงๆ

อีกหนึ่งแห่งที่เราอยากชวนให้ปักหมุดไปเช็คอินกัน ก็ต้องยกให้กับ The Chronicle of Georgia ซึ่งแค่ขับรถออกมาจากตัวเมืองนิดเดียวก็ถึงแล้วจ้า บอกเลยว่าเป็นอีกแลนด์มาร์คที่อลังการแบบสะใจสุดๆ ไปเลยละ เพราะเป็นเสาหินสูง 35 เมตร ที่มีการจารึกประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่สำคัญของประเทศจอร์เจียลงไป โดยที่นี่เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1985 และด้วยความมโหฬารทำให้ยังคงสร้างต่อเนื่องกันมาถึงทุกวันนี้เลยเชียวละ เป็นอีกพิกัดสุดอลังที่ควรต้องไปดูด้วยตานะ รับรองว่าคุ้มจริงๆ

จากพิกัดสุดอลังการ เรากลับมาชมสถานที่หน้าตาตะมุตะมิในเมืองกันบ้างดีกว่า กับ Rezo Gabriadze Theatre ซึ่งเป็นโรงละครหุ่นกระบอกหน้าตาน่าเอ็นดูกลางกรุงทบิลิซี แต่ไฮไลท์ของที่นี่กลับเป็นที่หอนาฬิกาซึ่งอยู่ด้านหน้า ซึ่งเชื่อว่าใครมาก็คงอดถ่ายรูปกลับไปไม่ได้ เพราะสร้างออกมาโย้เย้โยกเยกน่ารักเหมือนเราได้หลุดเข้าไปเดินอยู่ในหนังสือนิทานสมัยเด็กเลยละ หลายคนเรียกที่นี่ว่าเป็นหอเอนเมืองทบิลิซีด้วยนะ มาจอร์เจียแล้วต้องได้เห็นจ้า ไม่งั้นก็เหมือนว่ามาไม่ถึงเลยนะเอ้า!

แลนด์มาร์คต่อไปที่เราแวะเช็คอินกัน ก็คือ Rike Concert Hall & Exhibition Center โรงละครและห้องจัดแสดงนิทรรศการหน้าตาประหลาดที่ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะ Rike Park ซึ่งมีหน้าตาคล้ายอุโมงค์ยักษ์หรือแจกันขนาดใหญ่วางนอนอยู่ และเป็นหนึ่งในสองแลนด์มาร์คหน้าตาล้ำยุคแตกต่างจากพิกัดทั่วไปในเมืองนี้ นับเป็นแลนด์มาร์คคู่ทบิลิซีที่ต้องแวะมาเช็คอิน

ที่อยู่ไม่ไกลมากนักจาก Rike Concert Hall และนับเป็นอีกแลนด์มาร์คที่หน้าตาล้ำยุคเบียดคู่กันมา ก็คือ The Bridge of Peace สะพานหน้าตาแปลกที่สร้างขึ้นในอิตาลี แล้วนำชิ้นส่วนใส่รถบรรทุก 200 คัน มาประกอบร่างกันที่กรุงทบิลิซีแห่งนี้นี่ละ สะพานหน้าตาเก๋แห่งนี้จะยิ่งสวยขึ้นในช่วงย่ำค่ำนะ เพราะจะมีการเปิดไฟประดับให้หน้าตาดูล้ำยุคอลังการตื่นตาขึ้นไปอีกจ้า จะให้ดีก็มาทั้งกลางวันและช่วงค่ำเลยนั่นละ จะได้เห็นทั้งสองฟีลไปเลย

หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเมืองทบิลิซีแห่งนี้นั้นเป็นเมืองที่อุดมไปด้วยน้ำพุร้อนเลยจ้า ดังนั้นอย่าแปลกใจเมื่อมาเมืองนี้แล้วพบว่ามีสถานที่อาบน้ำตั้งอยู่หลายแห่งเชียวละ อารมณ์เหมือนไปเมืองออนเซ็นของญี่ปุ่นยังไง ที่นี่ก็คล้ายๆ กันยังงั้นละนะ และโรงอาบน้ำยอดนิยมที่ดังที่สุดของเมืองนี้ ก็ต้องยกให้ Abanotubani ซึ่งมีบรรยากาศการอาบน้ำแบบร้อยกว่าปีก่อนให้ได้สัมผัสกัน โดยเฉพาะโรงอาบน้ำหมายเลข 5 นั้นว่ากันว่าเก่าแก่ที่สุดเลยนะ ใครอยากสัมผัสวัฒนธรรมแบบจอร์เจียแน่นๆ ก็ลองไปอาบดูได้จ้า เค้ามีทั้งแบบอาบเดี่ยวและอาบเป็นหมู่คณะให้เลือกด้วยนะ ชอบแบบไหนก็จัดไป

Narikala Fortress คืออีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่มาทบิลิซีแล้วต้องไป เพราะนี่คือป้อมเก่าแก่ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้ป้องกันเมืองนี้ โดยชื่อป้อมนั้นแปลได้ว่าเป็นป้อมซึ่งไม่สามารถตีให้แตกได้ ซึ่งก็สมชื่อจ้า เพราะป้อมนี้อยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบันให้เราได้เห็นกันนี่ละ จากบนนี้สามารถใช้เป็นที่ชมวิวมุมสูงสวยๆ ของทบิลิซีได้ด้วยนะ วิธีขึ้นมาก็เลือกได้เลยว่าจะเดินชมวิวมาชิลล์ๆ หรือจะนั่งกระเช้าไฟฟ้ามาจากสวน Rike เลยก็ได้จ้า อยากได้เหนื่อยน้อยหรือเหนื่อยมากก็เลือกตามที่อยากเอาเลย

พิกัดที่เราจะพาแวะไปชมเป็นที่สุดท้ายในทริปนี้ คือ Mother of a Georgian ซึ่งเป็นรูปปั้นหญิงสาวสูง 20 เมตร ตั้งอยู่บนยอดเขา Solo Laki ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ในช่วงปี ค.ศ.1958 เพื่อฉลองอายุครบ 1,500 ปีของเมืองหลวงแห่งนี้ โดยมือขวาของรูปปั้นนี้ถือดาบไว้ ในขณะที่มือซ้ายนั้นถือแก้วไวน์อยู่จ้า ว่ากันว่าเป็นการสื่อนิสัยของชาวจอร์เจียด้วยนะ ประมาณว่าถ้าดีมาก็จะต้อนรับด้วยไวน์ แต่ถ้ามาแบบร้ายๆ แม่ก็จ้วงให้ด้วยดาบนะจ๊ะ อย่าแหยมเชียว!

จอร์เจียเป็นประเทศหนึ่งซึ่งมีประวัติความเป็นมาที่เก่าแก่และน่าสนใจ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมเมืองนี้ถึงมีสถาปัตยกรรมโบราณให้ได้เห็นกันในแทบทุกจะหย่อมหญ้า ที่เริ่ดก็คือความสวยของสถานที่ทั้งหลายนั้นมาพร้อมกับความอลังการของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะในเทือกเขาคอเคซัสอันสุดจะตระการตา แถมเจ๋งสุดๆ เพราะเป็นประเทศในยุโรปที่ค่าใช้จ่ายถูกมากจ้า ปักหมุดเลยนะ เป็นอีกพิกัดที่ต้องมาซักครั้งจริงๆ

จองโรงแรม
จองตั๋วเครื่องบิน
Things to Do
รับทราบข้อมูลใหม่ ๆ ตลอดเวลา
สมัครรับจดหมายข่าวของเรา เพื่อคำแนะนำการท่องเที่ยวและรูปแบบการใช้ชีวิตที่มากขึ้น พร้อมด้วยข้อเสนอที่น่าตื่นเต้น
สมัคร