หลังจากการงดออกเดินทางไปต่างประเทศมาเกือบสองปี ถึงเวลาแล้ว! ที่เราจะออกไปสัมผัสโลกกว้างอีกครั้ง โดยจุดหมายปลายทางของเราในครั้งนี้ก็คือ “อเมริกา” ประเทศในความฝันของใครหลาย ๆ คน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเราด้วย เพราะที่นี่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ และความสวยงามของธรรมชาติที่ต้องไปสัมผัสด้วยตาของตนเองสักครั้ง
ทริปนี้เราเลยขอจัดแพลนเที่ยวอเมริกาแบบ Road Trip ฝั่ง West Coast แบบจุก ๆ 15 วัน โดยเราจะไปสัมผัสเส้นทางยอดฮิต โดยผ่าน 4 รัฐ ได้แก่ California, Nevada, Arizona และ Utah ซึ่งระหว่างทางเราจะเจอความสวยงามสุดอลังการอะไรบ้าง และจะไปเช็กอินที่เที่ยวอเมริกาขึ้นชื่อที่ใดบ้าง พร้อมทั้งบอกทริคเล็ก ๆ ในการยื่นวีซ่าอเมริกา และวิธีจองตั๋วเครื่องบินในราคาสุดคุ้มให้กับเพื่อน ๆ ได้ลองตามรอยกันไปแบบฟิน ๆ เลย
การยื่นวีซ่าอเมริกาไม่ใช่เรื่องยาก และสามารถทำได้อย่างผ่านฉลุย เพียงทำตาม 3 เทคนิคง่าย ๆ ดังนี้
หลังจากผลการยื่นวีซ่าอมเริกาออกแล้ว ขั้นตอนถัดมาก็คือ การกดจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวอเมริกา ซึ่งเราขอแนะนำแอปพลิเคชันที่มีชื่อว่า Traveloka Travel & Lifestyle App ที่ให้คุณสามารถกดจองตั๋วเครื่องบินในราคาสุดคุ้มได้แบบง่าย ๆ แถมยังสามารถเลือกใช้บริการอื่น ๆ อาทิ บริการรถเช่า และบริการรถรับ-ส่งสนามบิน ที่สามารถเลือกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันเพียงปลายนิ้วได้อย่างง่ายดาย
ปักหมุดกันที่เที่ยวอเมริกาอันดับแรกกับ Lake Tahoe ทะเลสาบซึ่งเป็น Alpine Lake ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ตั้งอยู่บนเทือกเขา Sierra Nevada ระหว่างรัฐ California กับ Nevada โดยจะใช้เวลาในการเดินทางขับรถจาก San Francisco ประมาณ 3.5 ชั่วโมงขึ้นมาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ซึ่งจุดเด่นของที่แห่งนี้คือ ความสวยงามของทะเลสาบที่ขึ้นชื่อในเรื่องของน้ำสีฟ้าใสและความบริสุทธิ์ของธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ไว้ได้เป็นอย่างดี โดยในแต่ละฤดูกาลก็จะมีเสน่ห์ที่ต่างกันออกไป ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาเพื่อทำกิจกรรม outdoor ต่าง ๆ อาทิ Paddle Board, เช่าเรือออกไปตกปลา, นั่งปิคนิคกันริมชายหาด หรือ ปั่นจักรยาน พร้อมท้ังชมความงดงามของธรรมชาติโดยรอบได้อย่างน่าประทับใจ
ถัดจาก Lake Tahoe เรามุ่งหน้าสู่ที่เที่ยวอเมริกาอันดับถัดมากับ Yosemite National Park อุทยานแห่งชาติของอเมริกาที่มีขนาดใหญ่มาก โดยกินพื้นที่กว่าสองล้านไร่ และมีทางเข้ามากถึง 5 จุด ภายในมีสถานที่ท่องเที่ยวเยอะมาก บอกเลยว่าใครที่เป็นสายเที่ยวรักธรรมชาติ และชอบทำกิจกรรมแนวผจญภัยก็อย่าลืมเตรียมตัววางแผนการเดินทางมาให้ดี
เพราะที่นี่มีเส้นทางเดินป่าทั้งแบบสั้นแบบยาว ปีนเขา ชมน้ำตก และชมวิวทิวเขาที่เรียงรายสลับทับกันไปมาได้อย่างจัดหนักจัดเต็มเลยทีเดียว
แต่ถ้าหากใครมีเวลาไม่มาก ก็สามารถเลือกเก็บเฉพาะจุดไฮไลท์เด็ด ๆ ได้เหมือนกัน โดยเส้นทางที่เราอยากแนะนำเลยก็คือ เส้นทาง Cook’s Meadow Loop ซึ่งมีระยะทางเพียง 1.6 km นักท่องเที่ยวสามารถแวะ Inspiration Point เพื่อดูวิวที่ Tunnel View / El Capitan และชมพระอาทิตย์ตกที่ Glacier Point ได้อย่างงดงาม
เป็นหนึ่งในที่เที่ยวอเมริกาสุดไฮไลท์ ซึ่งตั้งอยู่ในเทือกเขา Sierra Nevada ซึ่งที่นี่โด่งดังเพราะเป็นสวรรค์ของนักเล่นสกีหรือสโนบอร์ด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใครที่ชื่นชอบการเล่นสกีในช่วงฤดูหนาว โดยที่พักส่วนใหญ่จะเป็นฟีลบ้านพักตากอากาศ ทั้งแบบอพาร์ตเมนต์ หรือบ้านเป็นหลัง หากใครอยากมานอนค้างคืนสัมผัสกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิดก็สามารถเลือกจองผ่านทาง Airbnb ได้
แต่ก่อนที่เราจะถึง Mammoth จะต้องขับผ่าน Lone Pine ก่อน ซึ่งเป็นถนนที่ทอดยาวเลียบเทือกเขาไปตลอดทาง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ Mt Whitney และ Alabama Hills ซึ่งมันสวยงามมาก ๆ เปรียบเสมือน Base Camp ของเหล่าบรรดานัก hikers และ climbers ดี ๆ เลยก็ว่าได้
เดินทางไปเช็กอินกันต่อกับที่เที่ยวอเมริกาสุดขึ้นชื่ออย่าง Death Valley National Park อุทยานที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในอเมริกา จนได้รับการขนามนามว่าเป็นหุบเขามรณะ โดยภายในอุทยานแบ่งออกเป็นสามจุดหลัก ๆ ด้วยกัน นั่นก็คือ Furnace Creek, Stovepipe Wells และ Scotty’s Castle ซึ่งสามารถขับมาตามเส้น High Way 136 พร้อมชมวิวรอบ ๆ ได้อย่างไกลสุดลูกหูลูกตากันเลยทีเดียว
โดยจุดไฮไลท์ของอุทยานแห่งนี้ที่ต้องไม่พลาดไปเช็กอินเลยก็คือ Artist’s Palette ภูเขาหินหลากสีสัน และ Mesquite Flat Dunes ทะเลทรายกลางหุบเขาที่เหมาะแก่การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้านั่นเอง
หลังจากนั้นเราก็ขับรถมุ่งหน้าเที่ยวอเมริกาต่อ โดยสถานีถัดไปเราจะขับรถตรงไปที่ Las Vegas โดยใช้เวลาอีกประมาณ 2:30 ชั่วโมง เพื่อเดินทางไปยังเส้นทาง Arizona และ Utah
ซึ่งจุด Check point แรกที่เราจะเดินทางไปเลยก็คือ Grand Canyon National Park โดยระหว่างทางเราจะวิ่งบนถนน Route 66 ลากยาวไปกว่า 4,000 พันกิโลเมตร
Grand Canyon National Park :
เป็นที่เที่ยวอเมริกาที่ต้องไปสัมผัสด้วยตาของตัวเอง สักครั้งในชีวิต เพราะที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติที่ถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ซึ่งบริเวณโดยรอบเป็นหน้าผาสูงชันที่เรียงรายสลับทับซ้อนกันไปมาบนพื้นที่กว้างใหญ่อย่างอลังการ
โดยแบ่งที่เที่ยวออกเป็นโซน ๆ ได้แก่ South Rim / North Rim / West Rim โดยฝั่ง South Rim จะเป็นฝั่งยอดฮิตของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ดังนั้นหากใครไปก็อย่าพลาดที่จะไปเช็กอินที่จุดนี้กันเลย
Lake Powell :
มุ่งหน้ากันต่อสู่ Page เมืองเล็ก ๆ ในรัฐ Arizona เพื่อไปปักหมุดกันที่เที่ยวอเมริกาชื่อดังอีกแห่งอย่าง Lake Powell วิวทะเลสาบฝีมือมนุษย์ขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในแม่น้ำโคโลราโด ครอบคลุมพื้นที่ฝั่งเหนือของ Arizona และฝั่งใต้ของ Utah
โดยทะเลสาบแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์ เพื่อใช้เป็นอ่างเก็บน้ำ สำหรับเขื่อนแกนแคนยอนในการผลิตกระแสไฟฟ้า และควบคุมการไหลของแม่น้ำโคโลราโด บริเวณโดยรอบโอบล้อมไปด้วยทะเลทรายและหุบเขา
ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางมาชมความงดงามของธรรมชาติ พร้อมทั้งทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็น การล่องเรือ ตกปลา สกีน้ำ เจ็ทสกี และการเดินป่า นั่นเอง
ซึ่งจุดยอดฮิตของที่เที่ยวอเมริกาแห่งนี้ที่พลาดไม่ได้เลยก็คือ Forrest Gump Point จุดถ่ายรูปบนถนน Highway 163 ที่เป็นถนนแนวยาว โอบล้อมด้วยธรรมชาติและสิ่งมหัศจรรย์อันงดงาม ซึ่งเคยเป็นโลเคชั่นที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ฉากสำคัญมาก่อนด้วย
หลังจากนั้นเราจะขับรถเพื่อเดินทางเข้าสู่รัฐ Utah กันอีกประมาณ 2.30 ชั่วโมง โดยเราจะแวะไปพักที่เมือง Moab กันก่อน เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่ระหว่างสองอุทยานที่เรากำลังจะไปเช็กอิน นั่นก็คือ Aches National Park และ Canyonlands National Park
โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับความนิยม คือ การเดินป่าที่มีให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่ยากไปจนถึงง่าย ซึ่งเส้นทางที่เราอยากแนะนำเลยก็คือ เส้นทาง The Windows and Turret Arch ที่มีระยะทางไปกลับประมาณ 1 กิโลเมตร ( 30-45 นาที )
จากอุทยาน Aches สู่ Bryce Canyon National Park จะใช้เวลาในการเดินทางทั้งหมดประมาณ 4.30 ชั่วโมง ซึ่งระยะทางจะค่อนข้างไกล แต่บอกเลยว่าเมื่อถึงแล้วคุณจะต้องร้องว้าวตามเราอย่างแน่นอน
จาก Bryce เราจะวิ่งตามทางหลวงหมายเลข 9 ซึ่งเป็นถนนที่มีความคดเคี้ยวไปตามภูเขา เข้าสู่เขตอุทยาน Zion National Park ภูเขารูปถ้วยคว่ำลายตาราง Checkerboard Mesa ก่อนเข้าอุโมงค์ที่ยาวที่สุดในอเมริกาเกือบ 2 กิโลเมตร
แต่ The Narrow จะเป็นเส้นทางเดินป่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด โดยนักท่องเที่ยวจะต้องลัดเลาะไปตามช่องแคบของแม่น้ำ Virgin ซึ่งถือว่าเป็นการเดินป่าที่ผจญภัยสุด ๆ อีกทั้งยังต้องเตรียมอุปกรณ์มาให้พร้อมด้วย
และแล้วการเดินทางท่องเที่ยวอเมริกาแบบ Road Trip ฝั่ง West Coat ของเราก็เป็นอันจบสิ้น จะเห็นว่าสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่เราไปเช็กอินเป็นที่เที่ยวธรรมชาติที่มีความมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก หากใครเป็นสายเที่ยว รักธรรมชาติ และต้องการหลีกหนีความวุ่นวายไปสัมผัสประสบการณ์ใหม่เราก็ขอแนะนำเลย เพราะการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เราพบเจออะไรใหม่ ๆ ที่งดงามในฉบับที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
บทเรียนที่เราได้จากการเดินทางในครั้งนี้ทำให้เราเชื่อเลยว่าโลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และสวยงามจริง ๆ หากเพื่อน ๆ คนไหนกำลังลังเลใจ เราขอบอกเลยว่าครั้งหนึ่งในชีวิตต้องไปสัมผัสด้วยตาของคุณเองสักครั้ง ว่าแล้วก็รีบยื่นวีซ่าอเมริกา และกดจองตั๋งเครื่องบินตามเราไปตะลุยกันเลย